in

แนะนำ 10 ฟีเจอร์เด่นที่ Apple Watch ทำได้!

สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจซื้อ Apple Watch หรือมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่า Apple Watch สามารถทำอะไรได้บ้างหรือยังใช้งานไม่คุ้ม วันนี้จะแนะนำ 10 ฟีเจอร์เด่นที่ Apple Watch ทำได้กัน!

10 ฟีเจอร์เด่นที่ Apple Watch ทำได้!

หลังจาก Apple Watch Series 7 เปิดตัวมาได้สักพัก คงมีหลายคนที่สงสัยว่า Apple Watch คือสมาร์ทวอร์ชแบบไหน แล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง ยังคงมีหลายคนที่ซื้อมาแล้วยังใช้ไม่คุ้ม วันนี้ทีมไอมด จะมาแนะนำ 10 ฟีเจอร์เด่น ที่มีอยู่ใน Apple Watch ที่รู้แล้วจะต้องอยากซื้อไปใช้แน่นอน!

1.วัดออกซิเจนในเลือด

แอปออกซิเจนในเลือด ได้ถูกเพิ่มฟีเจอร์นี้มาใน Apple Watch Series 6 และ Series 7 ซึ่งฟีเจอร์ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านการออกกำลังกาย และสุขภาพทั่วไปเท่านั้น เปอร์เซ็นต์ออกซิเจนในเลือดบ่งบอกถึง เปอร์เซ็นต์ออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงที่สามารถนำออกจากปอดไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ โดยคนส่วนใหญ่จะมีระดับออกซิเจนในเลือดอยู่ที่ 95 – 100% อยู่ในระดับปกติ ซึ่งในบางครั้งอาจน้อยกว่า 95% ในขณะนอนหลับ ยังคงถือเป็นเรื่องปกติ 

การวัดออกซิเจนควรสวมใส่ Apple Watch ให้พอดีไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป และอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลา 15 วินาที Apple Watch จะใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับและประมวลผลออกมา

2.ติดตามการนอนหลับ 

สามารถใช้ได้ใน Apple Watch Series 3 ขึ้นไป หรือใหม่กว่า และ Apple Watch SE

สร้างเป้าหมายการนอนให้เพียงพอ โดยกำหนดเวลาเข้านอนและเวลาตื่นนอนนอกจากนี้เรายังสามารถสร้างโหมดโฟกัสเวลานอนหลับได้ และเมื่อถึงเวลานอนเพียงแค่แตะเปิดโหมดโฟกัส และสวม Apple Watch เข้านอน แล้วอุปกรณ์จะสามารถติดตามการนอนหลับได้

เมื่อตื่นนอนให้เปิดแอปสุขภาพ แล้วไปที่หัวข้อการนอนหลับจะมีข้อมูลการนอนของเรา รวมถึงดูแนวโน้มการนอนตลอด 14 วันที่ผ่านมา  และก่อนเข้านอน Apple Watch จะต้องมีแบตเตอรี่อย่างน้อย 30% 

และสำหรับ watchOS 8 ขึ้นไปได้เพิ่มส่วนเสริมการนอนหลับเข้ามาใหม่ ก็คือการวัดอัตราการหายใจขณะนอนหลับ โดยเราจะต้องสวม Apple Watch เข้านอนด้วย ฟีเจอร์นี้ถึงจะสามารถใช้งานได้ และข้อมูลเหล่านี้จะอยู่ในแอปสุขภาพบน iPhone ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูย้อนหลังได้

3.วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

สามารถใช้ได้ใน Apple Watch Series 3 ขึ้นไป หรือใหม่กว่า และ Apple Watch SE

การวัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นอีกวิธีในการตรวจสอบสภาพร่างกาย สามารถวัดได้ ระหว่างออกกำลังกาย ดูอัตราการพัก การเดิน การหายใจ การออกกำลังกาย และการฟื้นตัว ได้ตลอดทั้งวัน หรือวัดค่าใหม่เมื่อใดก็ได้

หากหัวใจเต้นเร็วไปหรือช้าไป อาจเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิต หรือในขณะที่เราพัก หัวใจของเราอาจจะเต้นช้าลง ซึ่งจะเป็นการลดการทำงานของหัวใจ

ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพเราได้ และยังสามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ในแอปสุขภาพบน iPhone 

หากต้องการใช้เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้าเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ให้เปิดแอปอัตราการเต้นของหัวใจแล้ววางนิ้วบน Digital Crown จะทำให้อ่านค่าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยจะมีการตรวจวัดทุกๆ วินาที แทนที่จะเป็นทุกๆ 5 วินาที (แต่จะไม่สามารถใช้วิธีนี้กับ Apple Watch SE ได้)

4.SOS โทรฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุร้ายหรืออุบัติเหตุ

SOS ฉุกเฉิน สามารถโทรแจ้งขอความช่วยเหลือและแจ้งเตือนไปยังรายชื่อติดต่อฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วจาก Apple Watch เมื่อเกิดเหตุการไม่คาดฝัน

หาก Apple Watch รุ่นที่ใช้ไม่รองรับเซลลูลาร์ Apple Watch จะต้องอยู่ใกล้กับ iPhone หรือเชื่อมต่ออยู่กับ Wi-Fi เพื่อใช้สัญญาณในการโทรขอความช่วยเหลือ

วิธีโทรหาบริการฉุกเฉินบน Apple Watch ของคุณ

1.กดปุ่มด้านข้างของนาฬิกาค้างไว้ (ปุ่มด้านล่างของ Digital Crown) จนกว่าแถบเลื่อน SOS ฉุกเฉินจะปรากฏขึ้น

2.ลากแถบเลื่อน SOS ฉุกเฉินเพื่อเริ่มการโทรทันที หรือกดปุ่มด้านข้างค้างไว้ได้ หลังจากนับถอยหลัง นาฬิกาจะโทรหาบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ

การโทรฉุกเฉินระหว่างประเทศ

Apple Watch Series 5 หรือใหม่กว่ารุ่นเซลลูลาร์ และ Apple Watch SE รุ่นเซลลูลาร์ สามารถโทรหาบริการฉุกเฉินในท้องถิ่นเมื่ออยู่ในประเทศหรือภูมิภาคอื่นได้ เมื่อเริ่มการโทร SOS ฉุกเฉินขณะอยู่ต่างประเทศ นาฬิกาจะเชื่อมต่อกับบริการฉุกเฉินในพื้นที่

5.แอปออกกำลังกายมากกว่า 40 แบบ

Apple Watch Series 3 ขึ้นไป จะมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับการออกกำลังกายมากขึ้น แต่รุ่นก่อนก็ยังสามารถใช้งานได้ แต่อาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด

Apple Watch ออกแบบมาให้รองรับการออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพ ดังนั้นจึงมีโหมดการออกกำลังกายให้เลือกหลายโหมดมาก และยังรองรับสำหรับผู้ที่นั่งวีลแชร์อีกด้วย หรือบางกีฬาไม่มีในโหมดพื้นฐาน เราสามารถเลือกเพิ่มจากหมวดหมู่เพิ่มเติมได้ ซึ่งแต่ละประเภท จะมีการเก็บข้อมูลของสุขภาพ และการคำนวณที่ต่างกันออกไป เลือกให้เหมาะสมกับการออกกำลังกายของเรา

และข้อมูลการออกกำลังกาย จะอยู่ในแอปสุขภาพบน iPhone ซึ่งเราสามารถไปดูได้ย้อนหลัง นอกจากนี้ยังสามารถแชร์ข้อมูลเรากับเพื่อน ๆ เพื่อให้เกิดกิจกรรมที่สนุกมากขึ้น รวมถึงกิจกรรมเก็บเหรียญรางวัล เพื่อกระตุ้นให้เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดี

6.ECG การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

Apple Watch Series 4, Series 5, Series 6 หรือ Series 7 หรือใหม่กว่ามีขั้วไฟฟ้าที่ติดตั้งมาใน Digital Crown และด้านหลังของ Apple Watch ซึ่งสามารถตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าจากหัวใจได้

ในการใช้แอป ECG ให้อัปเดต iPhone 6s ขึ้นไปให้เป็น iOS เวอร์ชั่นล่าสุด และอัปเดต Apple Watch ให้เป็น watchOS เวอร์ชั่นล่าสุด แอป ECG ไม่มีให้ใช้ได้ครบทุกภูมิภาค (ใช้ได้ในประเทศไทย)

ขั้นตอนการใช้งาน

  1. เปิดแอปสุขภาพบน iPhone จากนั้นทำตามขั้นตอนบนหน้าจอเพื่อตั้งค่า ECG
    ถ้าไม่เห็นการแจ้งเตือนให้ตั้งค่า ให้แตะ เลือกหา ที่ด้านขวาล่างสุด แล้วแตะ หัวใจ จากนั้นแตะ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
  2. เปิดแอป ECG บน Apple Watch
  3. วางแขนไว้บนโต๊ะหรือให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับ
  4. มือข้างที่ไม่ได้สวมนาฬิกา ให้วางนิ้วลงบน Digital Crown (วงจรปิดจะถูกสร้างขึ้นระหว่างหัวใจกับแขนทั้งสองข้างเพื่อตรวจจับคลื่นไฟฟ้าตลอดช่วงอก) ค้างไว้แล้วรอในขณะที่ Apple Watch บันทึก ECG

*ไม่จำเป็นต้องกด Digital Crown ในระหว่างเซสชั่นนี้

7.ทนน้ำ ใช้ทำกิจกรรมทางน้ำได้ ทนทาน ใช้งานครอบคลุม

Apple Watch Series 3 ขึ้นไป หรือใหม่กว่า มีความสามารถในการทนน้ำ โดยมีการป้องกันอยู่ที่ระดับ 50 เมตร ดังนั้นสามารถใช้ในกิจกรรมน้ำตื้น เช่น การว่ายน้ำในสระหรือทะเล แต่ไม่ควรใช้ในการดำน้ำลึก การเล่นสกีน้ำ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำที่มีความเร็วสูงหรือต้องอยู่ในน้ำที่ลึกกว่าระดับน้ำตื้น

ในรุ่น Series 7 ผ่านการรับรองการทนฝุ่นที่ระดับ IP6X ดังนั้นตัวรุ่นใหม่สุด จึงเป็นทางเลือกทีดี่สำหรับคนที่ต้องการ Apple Watch ที่มีความทนทานกว่ารุ่นอื่น ๆ และในรุ่น Series 7 นี้รองรับกิจกรรมทางน้ำที่เอ็กส์ตรีมมากขึ้น อย่างเช่นการเล่นเซิร์ฟ แต่ก็ยังไม่แนะนำให้ใช้กับกิจกรรมที่มีความเร็วอยู่ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

8.ใช้ Siri บน Apple Watch

Siri สามารถใช้งานได้บน Apple Watch Series 3 ขึ้นไปหรือใหม่กว่า

Apple Watch เป็นสมาร์ทวอทช์ที่มีความสามารถหลากหลาย นอกจากที่เราจะสั่งการด้วยมือแล้ว ยังสามารถสั่งให้ Siri ทำงานหรือค้นหาแทนเราได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแตะหน้าจอเลย ส่วนนี้จะทำให้ใช้งาน Apple Watch ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนลง 

 ใช้ Siri แปลภาษา, หาเพลงด้วย Shazam แบบทันที หรือถามคำถามทั่วไปแล้ว ให้ Siri ค้นหาคำตอบให้เรา

วิธีใช้ Siri

เรียกใช้ Siri:

  • ยกข้อมือขึ้นแล้วพูดใส่บน Apple Watch ของคุณ
    พูดว่า “หวัดดี Siri” ตามด้วยคำสั่งของเรา
  • แตะปุ่ม Siri บนหน้าปัดนาฬิกา Siri
  • กดค้างไว้ที่ Digital Crown จนเห็นตัวบ่งชี้การฟัง จากนั้นพูดคำสั่ง

9.ตรวจจับการล้ม

Apple Watch SE หรือ Apple Watch Series 4 หรือใหม่กว่า สามารถตรวจจับพบการล้มอย่างรุนแรงได้ และ Apple Watch จะติดต่อบริการฉุกเฉินให้หากเราต้องการ 

ในบางครั้งหากเราเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดและอยู่ตามลำพัง ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใคร Apple Watch เป็นอีกส่วนสำคัญที่จะส่งข้อมูลให้คนมาช่วยเหลือเราได้ 

โดยเมื่อ Apple Watch ตรวจจับได้ว่าเกิดการล้มอย่างรุนแรง จะส่งข้อความมาที่ข้อมือเรา และหากเราไม่เป็นอะไรสามารถตอบกลับข้อความได้ แต่ถ้าหากไม่มีการตอบกลับเกิดขึ้น  Apple Watch จะนับถอยหลัง 30 วินาที และส่งข้อความแจ้งเตือน และส่งเสียงดังให้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง และเริ่มนับถอยหลังการโทรขอความช่วยเหลืออัตโนมัติ

และใน watchOS 8 ขึ้นไป ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่คือ ตรวจจับการล้มอย่างรุนแรงขณะออกกำลังกาย โดยขั้นตอนจะคล้ายกับการล้มอย่างรุนแรง แต่จะตรวจจับหากเกิดอุบัติเหตุขณะที่เราออกกำลังกายอยู่

10.โหมดทำสมาธิ

สุขภาพกายที่ดีแล้ว สุขภาพจิตที่ดีก็สำคัญเช่นกัน Apple มองเห็นถึงสุขภาพโดยรวมจีงให้ความสำคัญกับหลายด้าน ดังนั้นใน Apple Watch จึงมีแอปทำสมาธิ เพื่อให้เราได้สงบจิตใจชั่วครู่หนึ่ง หลังจากผ่านเรื่องราวเหนื่อยมาทั้งวัน 

และใน watchOS 8 ได้เพิ่มโหมดใหม่มา คือ โหมดสะท้อนความคิด หลักการทำงานจะคล้ายทำสมาธิ โดยจะมีแอนเมชันเคลื่อนไหว ให้เราโฟกัส และกำหนดลมหายใจเข้าออก หลังจากจบเซสชั่นการทำสมาธิ จะมีสรุปจำนวนนาที และอัตราการเต้นของหัวใจ

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอปทำสมาธิ : คลิกที่นี่

และทั้งหมดนี้ก็เป็น 10 ฟีเจอร์เด่นที่ทีมไอมดนำมาเสนอ และยังมีความสามารถอื่น ๆ อีกเพียบที่ Apple Watch ทำได้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.iphonemod.net/popular-features-on-apple-watch.html

ข้อมูลจาก : Apple 

ความคิดเห็น - Like เพจ iPhoneMod.net

เขียนโดย iMod Crew