ระบบปฏิบัติการไม่ว่าจะเป็น iOS หรือ Android นั้นมีฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้มากมาย มีทั้งฟีเจอร์ที่ทำงานคล้ายกันและฟีเจอร์ที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ ทีมงานได้รวม 8 ฟีเจอร์บนสมาร์ตโฟน Android ที่ iPhone ยังไม่มีมาแนะนำให้ชมกันค่ะ
รวม 8 ฟีเจอร์บนสมาร์ตโฟน Android ที่ iPhone ยังไม่มี
1. แสดงผลแบ่งครึ่งหน้าจอ
ฟีเจอร์การแสดงผลแบบครึ่งหน้าจอนั้น เป็นที่เรียกร้องของผู้ใช้ iPhone มาค่อนข้างนาน Android ได้เปิดตัวฟีเจอร์การแบ่งหน้าจอครั้งแรกใน Android 7.0 ปี 2016 แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเพิ่มฟีเจอร์นี้สักทีบน iPhone มีแต่เฉพาะ iPad ที่ใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ ซึ่ง Apple เปิดตัวเมื่อปี 2015 บน iPad Pro รุ่นแรก
ถึงแม้ว่าบน iPhone จะรองรับการแสดงผล Picture in Picture เพื่อให้ผู้ใช้เปิดแอปพร้อมกับดูวิดีโอมีเดียไปด้วยแล้วก็ตาม แต่แน่นอนว่าผู้ใช้หลายคนก็ยังอยากจะเปิดแอป 2 แอปพร้อมกัน เช่น เปิดแอป Note พร้อมกับ Safari เพื่อบันทึกข้อมูลได้อย่างสะดวก และใช้หน้าจอใหญ่ ๆ ของ iPhone ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
2. วิดเจ็ตโต้ตอบได้
Apple ได้เปิดตัววิดเจ็ต (Widjet) บนหน้าโฮมใน iOS 14 ปี 2020 ให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มวิดเจ็ต เพื่อแสดงข้อมูลของแอปต่าง ๆ ได้ แต่วิดเจ็ตที่เราใช้งานกันทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพียงวิดเจ็ดแสดงข้อมูลหรือให้ความรู้สึกเหมือนทางลัดไปยังแอปเท่านั้น เรายังไม่สามารถโต้ตอบกับวิดเจ็ตได้โดยตรง
ก็มีความหวังว่าใน iOS 17 เราอาจจะเห็นการเพิ่มขีดความสามารถของวิดเจ็ตให้ผู้ใช้โต้ตอบได้บนหน้าโฮม เช่น เริ่มจับเวลาผ่านวิดเจ็ตโดยไม่ต้องเปิดแอป สั่งเล่นเพลงหยุดเพลงได้ผ่านวิดเจ็ตเพลงต่าง ๆ เป็นต้น
3. ปรับแต่งหน้าโฮมได้มากขึ้น
สมาร์ตโฟน Android สามารถปรับแต่งหน้าโฮมโดยการจัดวางแอปได้อย่างอิสระ สามารถลากแอปไปวางตำแหน่งที่ต้องการได้ โดยไม่ต้องจัดเรียงแอปเหมือนกับบน iPhone เช่น เราอยากจะวางไม่กี่แอปตรงกลางหน้าจอ ก็สามารถลากไปวางได้เลย โดยเว้นว่างพื้นที่อื่น ๆ ได้
แต่บน iPhone การจัดวางแอปจะต้องเรียงติดกันเป็นแถว ไม่สามารถเว้นช่องว่างบนหน้าโฮมได้อย่างอิสระ หรือถ้าหากต้องการให้มีช่องเว้นว่างก็อาจจะต้องอาศัยวิดเจ็ตซ่อนมาวางหลอกแทน
4. เครื่องคิดเลขที่ดีขึ้น
แอปเครื่องคิดเลข (Calculator) บน iPhone เป็นแอปที่สามารถใช้งานได้ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางอย่างที่อาจจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกขัดใจได้ เช่น เครื่องคิดเลขบนสมาร์ตโฟน Android จะเก็บประวัติการคำนวณล่าสุดไว้ สำหรับการคำนวณที่ซับซ้อน ให้ผู้ใช้เลือกผลลัพธ์ที่เคยคำนวณไว้ก่อนหน้ามาใช้งานต่อได้
5. รองรับการติดตั้งแอปจาก Store อื่น ๆ
อุปกรณ์ Android นอกจากจะเลือกติดตั้งแอปผ่าน Google Play Store แล้ว ยังสามารถเลือกจาก Store ออนไลน์อื่น ๆ ได้ด้วย อย่างเช่น Amazone App Store หรือแอปที่ปล่อยติดตั้งออนไลน์ ทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกในการติดตั้งแอปได้มากขึ้น แต่ก็อาจจะมีโอกาสติดมัลแวร์ได้
สำหรับอุปกรณ์ Apple นั้น ผู้ใช้จะต้องติดตั้งผ่าน App Store เท่านั้น ซึ่ง Apple อ้างว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ติดตั้งแอปจากที่อื่น ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ Apple ให้ความสำคัญมาก จึงเป็นไปได้ยากที่ Apple จะอนุญาตให้ติดตั้งแอปนอก App Store
6. ใช้พอร์ต USB-C
เมื่อพูดถึงพอ์ต USB-C แล้ว คงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่รอคอยกันมานาน เพื่อรองรับการรับส่งข้อมูลที่ดีขึ้น ก่อนหน้านี้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงพอร์ตมาเป็น USB-C บน iPad กันแล้ว และคาดหวังตามข่าวลือว่า iPhone 15 ที่จะเปิดตัวปลายปีนี้ Apple อาจจะเพิ่มพอร์ต USB-C เข้ามาด้วย รวมถึง AirPods Pro รุ่นใหม่ก็มีข่าวลือด้วยเช่นกันว่า Apple จะเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C
7. มีการยืนยันตัวตนด้วย Pattern
การยืนยันตัวตนเพื่อปลดล็อคเครื่อง iPhone ในปัจจุบัน เราใช้วิธีการกรอกรหัสผ่าน สแกนใบหน้า Face ID สำหรับ iPhone รุ่นที่ไม่มีปุ่มโฮม และสแกนลายนิ้วมือ Touhc ID สำหรับ iPhone รุ่นที่มีปุ่มโฮม ซึ่งยังไม่มีการยืนยันตัวตนแบบ Pattern ที่ใช้นิ้วลากวาดรูป เพื่อปลดล็อค
เหตุผลที่ Apple ไม่ใช้การปลดล็อคด้วย Pattern นั้น หลัก ๆ ก็คือ เรื่องของความปลอดภัย ที่การจดจำรูปแบบนั้นจำได้ง่ายมากกว่าการจดจำตัวเลข จึงเป็นที่สุ่มเสี่ยงในการจะโดนแฮ๊กหรือเข้าถึงเครื่องได้ [อ่านเพิ่มเติม: ทำไม iPhone, iPad ถึงไม่มีการปลดล็อคแบบการวาดเส้น Pattern เหมือนอุปกรณ์ Android]
8. สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
สมาร์ตโฟน Android ส่วนใหญ่รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอกันแล้ว ถึงแม้ว่า iPhone จะมีการยืนยันตัวตนด้วย Face ID ที่เป็นวิธีที่ดีอยู่แล้ว แต่การเพิ่มการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอก็อาจจะทำให้สะดวกมากขึ้น เวลาที่สแกนใบหน้าไม่ติด
อย่างไรก็ตาม เราเห็นการเพิ่มวิธีการยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่ใช้วิธีสแกนลายนิ้วมือบนปุ่มด้านข้างบน iPad รุ่นใหม่ คาดว่า Apple คงจะไม่เพิ่มฟีเจอร์การสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอในเร็ว ๆ นี้
ทั้งหมดนี้ก็เป็นฟีเจอร์ที่มีบน Andriod แต่บน iPhone ไม่มี แน่นอนว่าการที่ Apple จะใส่ฟีเจอร์อะไรมาใหม่นั้น ย่อมมีการพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัย ความพร้อมของฮาร์ดแวร์ ความพร้อมของซอฟต์แวร์ ความจำเป็น ความเหมาะสม และอื่น ๆ อีกมากมาย
ระบบปฏิบัติการทั้ง iOS และ Android ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน บางฟีเจอร์ดี ๆ อาจจะมีเฉพาะบน iPhone และบางฟีเจอร์ดี ๆ ก็อาจจะมีเฉพาะบน Android ดังนั้นการตัดสินใจเลือก ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าชอบแบบไหน จำเป็นต้องใช้งานลักษณะใดบ้าง เลือกให้เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด เราถึงจะได้มือถือที่คุ้มค่าและถูกใจ
ที่มา idropnews