Google Pixel 3 หลังเปิดตัวสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการได้ไม่แพ้ Apple ซึ่งแทบจะเป็นการสู้กันด้วย Software รวมถึง AI เสียมากกว่าที่จะพูดถึงเรื่องความเร็วและ Hardware และจากที่เปิดตัวดูเหมือนว่ารอบนี้ Google (ซึ่งก็คือ Pixel 3 และไม่ได้หมายถึง Android ทุกรุ่น) จะนำหน้า iPhone ไปเยอะในเรื่องกล้อง โดยยังมีจุดยืนที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่นคือ “ไม่จำเป็นต้องกล้องคู่ก็เทพได้” ด้วยพลังแห่งการประมวลผลภาพนั่นเอง
Pixel 3 มีกล้องด้านหน้าสำหรับ ‘เซลฟี่กลุ่ม’
กล้องยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ที่คนทั่วไปสนใจในสมาร์ทโฟนเรือธง ไม่ต่างอะไรกับ iPhone XS และ XS Max ที่ทั้งคู่มีกล้อง 12MP เลนส์มุมกว้างและเลนส์เทเลโฟโต้หนึ่งตัว ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว และมีรูรับแสง f/1.8 และ f/2.4 ตามลำดับ ส่วนด้านหน้าเป็นกล้อง 7MP พร้อมเลนส์มุมกว้าง f/2.2
Google พลิกสูตรนี้ด้วยการให้กล้องหน้าคู่กับ Pixel 3 และ 3 XL โดยกล้องหลังเป็นกล้องเดี่ยวขนาด 12.2MP ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบคู่ 8MP เป็นเลนส์ระยะปกติ และเลนส์มุมกว้าง 97 องศา เพื่อให้เหมาะกับการ ‘เซลฟี่กลุ่ม’ ส่วนกล้องหลังให้เหตุผลว่า ปัญญาประดิษฐ์ฉลาดพอที่จะถ่ายภาพที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจริงจะยังไม่ได้ออกมา แต่จากภาพถ่ายที่ Google เอามาเคลมคงต้องยอมรับว่า Pixel 3 ทำออกมาได้ดีมาก (แต่ถ่ายจริงคงต้องรอดูอีกทีว่าเหมาะกับทุกสถานการณ์มากน้อยแค่ไหน) ในส่วนของ iPhone XS มีสิ่งที่เรียกว่า Smart HDR แต่ในส่วนของ Google ก็มีเทคโนโลยีที่ถ่าย HDR และเลือกภาพที่ดีที่สุดให้เอง
Pixel 3 XL มีรอยบาก แต่ว่า Pixel 3 ไม่มี
ในขณะที่สมาร์ทโฟน Android หลายแบรนด์เริ่มทำ “รอยบาก” ตามแนวทางของ Apple แต่การออกแบบของ Google มีให้เลือกทั้งแบบมีและไม่มีรอยบาก ซึ่งหากคุณเกลียดรอยบากใน iPhone XS Max คุณจะเกลียดรอยบากใน Pixel 3 XL มากยิ่งกว่า เพราะมันมาพร้อมกับรอยบากขนาดใหญ่เพื่อวางกล้องหน้าคู่
ในแง่ของการออกแบบ Google จะคงทิ้งคาง (ส่วนล่างของบริเวณหน้าจอ) เอาไว้ทั้งสองรุ่น ในขณะที่ Apple ทำออกมาได้แนบสนิทและดูสมมาตรลงตัวมากกว่า ส่วนขนาดหน้าจอแตกต่างกันดังนี้
- Pixel 3 หน้าจอ 5.5″, iPhone XS หน้าจอ 5.8″
- Pixel 3 XL หน้าจอ 6.3″, iPhone XS Max หน้าจอ 6.5″
ความหนาแน่นอนพิกเซล (PPI) ผลักกันแพ้ผลักกันชนะ เพราะถ้าเป็นรุ่นหน้าจอปกติ iPhone XS ชนะที่ 458PPI แต่ในขณะที่รุ่นหน้าจอใหญ่ Pixel 3 XL ชนะที่ 523PPI และหากเทียบขนาดเครื่องต่อหน้าจอ Apple ทำออกมาได้ดีกว่า (สุดท้ายก็คงแล้วแต่ความชอบ เพราะใช้จริงคงไม่ต่างกันมาก)
ไอโฟนขายแพง ส่วนพิกเซลไม่มีขาย
ราคาของ Pixel 3 เปิดตัวที่ $799 (64GB) ในขณะที่ iPhone XS เปิดตัวที่ $999 (64GB) ในขณะที่ Google ให้ทางเลือกที่ 128GB ($899) แต่หาก Apple จะกระโดดไปที่ 256GB ($1,149) ราคาอย่างเป็นทางการในไทยยังไม่เปิดตัว แต่เชื่อว่ารุ่นเริ่มต้นทั้งสองแบรนด์จะมีส่วนต่างกันประมาณหกพันบาท
ทั้งในส่วนของ Apple และ Google ต่างมีบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยมทั้งคู่ แต่น่าเสียดายที่ในไทย Google ไม่ได้ทำตลาดขายสมาร์ทโฟน ดังนั้นจึงไม่มีขายและต้องไปซื้อกับประเทศข้างเคียงแทน นอกจากนี้การที่ Pixel 3 ไม่มีขายในเมืองไทย หากใครต้องการจำเป็นต้องซื้อ “เครื่องหิ้ว” หรือ “เครื่องตู้” สุดท้ายแล้วอาจไม่หนีกันมาก
ชอบสแกนใบหน้าหรือสแกนลายนิ้วมือ
iPhone XS ให้ตัวเลือกเป็นสแกนใบหน้า (FaceID) ส่วนในรุ่น Pixel 3 ให้ตัวเลือกเป็นสแกนนิ้วมือ (ด้านหลัง) และถึงแม้ว่า Android Pie จะเพิ่มการรองรับกล้องสำหรับจดจำใบหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ยังห่างชั้นกับเซ็นเซอร์ที่เอาไว้สแกนใบหน้าโดยเฉพาะใน FaceID อย่างไรก็ดียังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ชอบสแกนใบหน้า ดังนั้นทางออกก็คือการเลือกใช้รุ่นที่มีสแกนลายนิ้วมือแบบเเดิม
iPhone XS มีสองซิม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า Dual SIM นี้คือจุดขายของ iPhone 2018 กับสิ่งที่เคยอยู่ในมือถือจีนหลายสิบปีที่แล้ว และเป็นจุดเด่นที่ทำให้หลายคนเลือกใช้ Android ในบางรุ่น (แต่มันกลับไม่มีใน Pixel 3) กลายเป็นว่ากลับตาลปัตร และหากคุณต้องการใช้คุณสมบัตินี้ iPhone XS, XS Max, XR มีให้ทั้งสิ้น
นี่คือยุคสมัยแห่ง AI
ทั้งในส่วนของ Apple และ Google ต่างแข่งขันกันในเรื่อง AI โดยเริ่มจาก iPhone XS และ XS Max มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล A12 Bionic ที่เป็นชิปกราฟิก Quad-core และชิปประมวลผล Six-core โดยเป็นรุ่นที่สองของ Apple Neural Engine ซึ่งมีคุณสมบัติด้าน AI ในระดับ Hardware
ส่วนของ Pixel 3 และ 3 XL ขอสู้ด้วย Google AI ที่เป็นส่วนสำคัญและมีการใช้หน่วยประมวลผลล่าสุดอย่างชิป Qualcomm Snapdragon 845 ซึ่งสามารถทำงานได้ในลักษณะ AI-centric เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและปรับแต่งภาพถ่าย นอกจากนี้ก็มีชิป Titan M เสริมเข้ามาเพื่อเข้ารหัสความปลอดภัย
Pixel 3 มีแท่นชาร์จไร้สายของตัวเอง
Pixel 2 ไม่รองรับชาร์จไร้สาย แต่ว่า Pixel 3 รองรับชาร์จไร้สายผ่านมาตรฐาน Qi แบบเดียวกับ Apple และหลายแบรนด์ Android แต่ความพิเศษคือ Google ได้เปิดตัวที่ชาร์จของตัวเองอย่าง Pixel Stand ($79) ซึ่งเอาไว้ใช้กับ Pixel 3 โดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อชาร์จอยู่จะแสดงข้อมูลต่าง ๆ ได้พร้อมกันด้วยราวกับไม่ได้ปิดเครื่องอยู่
แต่สำหรับ Apple มีที่ชาร์จไร้สายของตัวเองที่ชื่อว่า AirPower และหลายคนคงลืมกันไปแล้ว จากการเปิดตัวที่เน้นความสะดวกชาร์จได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน โดยไม่ต้องวางจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ล่าสุดมีการเลื่อนวางจำหน่ายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความร้อน
Google Pixel 3 | Apple iPhone XS | |
Display size, resolution | 5.5-inch “flexible” OLED; 2,280 x 1,080 pixels | 5.8-inch Super Retina OLED; 2,436 x 1,125 pixels |
Pixel density | 443ppi | 458 ppi |
Dimensions | 145.6 x 68.2 x 7.9 mm | 143.6 x 70.9 x 7.7 mm |
Weight | 148 g | 177 g |
Mobile software | Android 9 Pie | iOS 12 |
Camera | 12.2-megapixel | 12-megapixel (standard), 12-megapixel (telephoto) |
Front-facing camera | Dual 8-megapixel | 7-megapixel |
Video capture | 4K | 4K |
Processor | Qualcomm Snapdragon 845 (2.5GHz octa-core) | Apple A12 Bionic |
Storage | 64GB, 128GB | 64GB, 256GB, 512GB |
RAM | 4GB | 4GB |
Expandable storage | None | None |
Battery | 2,915 mAh | 2,658 mAh |
Fingerprint sensor | Back cover | None (Face ID) |
Connector | USB-C | Lightning |
Headphone jack | No | No |
Special features | IP68, wireless charging support, Pixel Buds USB-C headphones in the box | Water resistant (IP68); dual-SIM (nano-SIM and e-SIM); wireless charging; Face ID; Animoji |
Price off-contract (USD) | $799 (64GB); $899 (128GB) | $999 (64GB), $1,149 (256GB), $1,349 (512GB) |
สรุป
สาเหตุที่ไม่พูดถึงความเร็วเพราะทั้งสองค่าย มาถึงจุดที่ไกลมากในเรื่องของความเร็วและความเสถียร (Android ลื่นไม่แพ้ iOS, ในขณะที่ความเร็ว iOS ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน) ทั้งสองค่ายชูจุดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์แข่งกันเสียมากกว่า และเชื่อว่าหลังจากนี้ก็คงจะแข่งแบบนี้กันไปอีกพักใหญ่ เป็นการยากที่หากต้องการสรุปว่ารุ่นไหนดีกว่ากัน แต่เชื่อว่าทั้งฝั่ง Android และ iOS สมาร์ทโฟน iPhone XS และ Pixel 3 คือที่สุดของที่สุดแล้วจริง ๆ
ที่มา – wired.co.uk