All New iPad Pro รุ่นปี 2018 ได้เปิดตัวบนเวทีครั้งแรกเมื่อ 30 ต.ค. 2018 แล้วได้ทำการเปิดขายในกลุ่มประเทศแรกเมื่อ 7 พ.ย. และอีกไม่นานก็เปิดให้สั่งซื้อในไทยไปเมื่อ 12 พ.ย. ซึ่งถือว่าเร็วมากที่ทาง Apple เปิดขาย iPad Pro รุ่นใหม่นี้ ในบทความนี้เราจะมารีวิวอุปกรณ์ชิ้นนี้กันว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง พร้อมแล้วไปติดตามกันเลย
รีวิว iPad Pro 2018 Face ID รุ่นแรก โคตรแรงได้ใจ หน้าจอใหญ่สุด ไร้ปุ่ม Touch ID
iPad Pro เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2015 ในปีนี้ iPad Pro 2018 ถือว่าเป็นรุ่นที่ 3 ตั้งแต่ทาง Apple ได้เปิดตัวมาในรีวิวครั้งนี้จะขอนำ iPad Pro ปี 2018 รุ่น 12.9 นิ้ว Wi-Fi มาให้ชมกันก่อน เราจะมาลงรายละเอียดในหัวข้อหลักๆ ดังต่อไปนี้
- สเปคและการเปลี่ยนแปลงหลัก
- หน้าจอเต็มขอบ, ไร้ปุ่ม Home, Liquid Retina Display และ Face ID
- หน่วยประมวลผล ชิป A12X Bionic, กราฟิก, RAM
- กล้องหน้า TrueDepth, Animoji, Memoji และกล้องหลัง
- พอร์ต USB-C (Thunderbolt 3) พอร์ตดียังไง ทำอะไรได้บ้าง
- Apple Pencil 2 กับ iPad Pro 2018
- Smart Keyboard ใหม่กับ iPad Pro 2018
- ประสบการณ์และ FAQ ต่างๆ : iPad Pro 2018 ใช้งานแทนคอมฯ ได้แล้วหรือไม่ ..
- สรุป
รีวิวนี้จะพยายามอธิบายให้กระชับและตรงจุดตามที่คนส่วนใหญ่ต้องการทราบจะได้เข้าใจกันง่ายๆ พร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ
1. สเปคและการเปลี่ยนแปลงหลัก
สรุปจุดที่เปลี่ยนหลักๆ ของรุ่นนี้คือ ตัดปุ่ม Home ออกทำให้ไม่มีปุ่มสแกนนิ้ว Touch ID แล้วโดยถูกแทนที่ด้วยระบบสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ Face ID, หน้าจอที่แสดงผลได้เต็มจอ, บอดี้ขอบเหลี่ยมและบางขึ้น ขนาดกระทัดรัดขึ้น, เปลี่ยนใช้พอร์ตใหม่จาก Lightnint เป็น USB-C (Thunderbolt 3), พอร์ต Connector เชื่อมต่อคีย์บอร์ดย้ายตำแหน่งใหม่, ด้านหลังมีแม่เหล็กสำหรับดูดติดกับเคส Smart Folio และ Smart Keyboard Folio ได้แน่นขึ้น, ขอบด้านข้างมีแม่เหล็กเอาไว้ยึด Apple Pencil 2 เพื่อเก็บและชาร์จ, CPU A12X แบบ 7 นาโนเมตรที่เร็วและประหยัดพลังงานมากขึ้น, RAM เยอะขึ้นสูงสุด 6GB, ความจุเยอะขึ้นสูงสุด 1TB, ลำโพงเสียงดีขึ้น, รุ่น Cellular รองรับ eSIM ด้วย
รายละเอียดสเปคอื่นๆ มีดังนี้
- หน่วยประมวล ชิป A12X Bionic รุ่นล่าสุดขนาด 7 นาโนเมตร มาพร้อมกับ Neural Engine ที่ช่วยประมวลผลได้เร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า และมีโปรเซสเซอร์ร่วม M12 ในตัว
- RAM 4GB และ 6GB (สำหรับรุ่นความจุ 1TB)
- หน้าจอ มี 2 ขนาดหน้าจอ ได้แก่ หน้าจอ 11 นิ้ว (ความละเอียด 2388 x 1668 , 264 ppi) และหน้าจอ 12.9 นิ้ว (ความละเอียด 2732 x 2048, 264 ppi) มาพร้อมจอภาพ (LCD) Liquid Retina ใหม่ แสดงสีได้อย่างแม่นยำ ยังคงมีเทคโนโลยี ProMotion แสดงผลความถี่ 120 Hz และแสดงผลแบบ True Tone, รองรับ Tap To Wake(แตะที่หน้าจอเพื่อเริ่มการทำงาน)
- ความจุ 4 ขนาดได้แก่ 64GB, 256GB, 512GB และ 1TB ทั้งรุ่น Wi-Fi และ Wi-Fi+Cellular
- ราคา iPad Pro 2018 เริ่มต้น 28,900 บาท ชมราคาทุกรุ่นที่นี่
- กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 7MP มีโหมดภาพถ่ายบุคคลและการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล, รองรับ Animoji และ Memoji, Ratina Flash, HDR อัจฉริยะสำหรับภาพถ่ายและวิดีโอ
- กล้องหลัง 1 ตัว ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/1.8, ถ่าย Live Photo, HDR อัจฉริยะสำหรับภาพถ่าย, แฟลช True Tone แบบ LED สี่ดวง, บันทึกวิดีโอระดับ 4K (3840 x 2160),บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 30 fps หรือ 60 fps, รองรับวิดีโอสโลว์โมชั่นความละเอียด 1080p ที่ 120 fps และ 720p ที่ 240 fps
- พอร์ตการเชื่อมต่อ เชื่อมต่อด้วย USB-C ที่ถ่ายโอนข้อมูลไวขึ้นและต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างจอภาพ 5K และ eGPU ได้ มี Smart Connector หรือแถบแม่เหล็กที่สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard Folio และที่พิเศษคือสามารถเชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2 (รุ่นใหม่) เพื่อชาร์จและจับคู่ได้อีกด้วย
- ระบบยืนยันตัวตน สแกนใบหน้า Face ID ด้วยกล้องหน้า TrueDepth บวกกับ Neural Engine ที่ช่วยประมวลผล Face ID
- ใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เท่านั้น ชาร์จแบตเตอรี่ของ Apple Pencil ไร้สายโดยวิธีการแตะติดกับตัวเครื่อง iPad Pro ได้เลย
- ใช้งานร่วมกับ Smart Keyboard Folio รุ่นใหม่เท่านั้น เชื่อมต่อผ่าน Smart Connector ด้านหลังตัวเครื่อง
- แบตเตอรี่ iPad Pro 11 นิ้ว ขนาด 7,812 mAh และ iPad Pro 12.9 นิ้ว ขนาด 9,720 mAh สามารถอยู่ได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง เมื่อเปิดเว็บไซต์ ดูวิดีโอ หรือฟังเพลงผ่าน Wi-Fi (ถ้าเปิดผ่านเซลลูลาร์จะอยู่ได้นานสูดสุด 9 ชั่วโมง) เท่ากับ iPad Pro 2017
- Gigabit LTE
- Bluetooth 5.0
สำหรับข้อมูลสเปคแบบละเอียดคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บของ Apple หรือดูที่ลิงก์สำรองนี้
2. หน้าจอเต็มขอบ, ไร้ปุ่ม Home, Liquid Retina Display และ Face ID
จุดเด่นแรกคือหน้าจอที่เปลี่ยนไปหลังจากตัดปุ่ม Home ออกและแทนที่ด้วย Face ID ทำให้เหลือพื้นที่แสดงผลสำหรับจอได้มากขึ้น ในรุ่น 11 นิ้วจอใหญ่ขึ้นจากรุ่น 10.5 นิ้วแต่ตัวเครื่องขนาดไม่แตกต่างกันมาก ส่วนรุ่น 12.9 นิ้ว แม้พื้นที่การแสดงผลเท่าเดิมแต่ว่ารุ่นปี 2018 นั้นขนาดเล็กกว่าเดิมมากพวกพาได้ง่ายขึ้น
ประสิทธิภาพของ Face ID นอกจากการสแกนปลดล็อคได้ทุกๆ แนวของการหมุนจอแล้วยังพบว่าสามารถสแกนได้จากระยะไกลได้มากกว่า iPhone X Series โดยระยะห่างประมาณเกือบ 1 ช่วงแขนก็สามารถปลดล็อคได้ และแม้ว่าจะนั่งไม่ตรงหน้าจอซึ่งอาจจะเยื้องไปหน่อยก็พบว่ายังสามารถปลดล็อคได้เช่นกัน
หน้าจอ Liquid Retina Display เป็นเทคโนโลยี LCD แบบใหม่ที่ Apple พัฒนาขึ้นซึ่งถูกใช้งานบน iPhone XR เป็นสินค้าตัวแรกและมาอยู่ใน iPad Pro 2018 นี้ด้วย จุดเด่น คือ รองรับระบบ Tap To Wake หมายถึง แตะที่หน้าจอเพื่อเริ่มใช้งานระบบได้เลยแทนที่การกดปุ่ม Home หรือปุ่มปิด-เปิดเครื่อง ถือว่าสะดวก ส่วนเรื่องคุณภาพสีนั้นจอนี้มีขอบเขตสี P3 รองรับการแสดงหลายเฉดสีแลดูธรรมชาติ พร้อมด้วยเทคโนโยี TrueTone Display ทำให้สีที่แสดงออกมาแม่นยำ สีตรง สด สวย ชัด และด้วย ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชเรตอยู่ที่ 120 Hz ทำให้การเคลื่อนไหวนั้นลื่นมาก ไม่ว่าจะเล่นเกมหรือทำงานสายกราฟิก
สำหรับความพิเศษของหน้าจอ iPad Pro 2018 อีกหนึ่งอย่างก็คือการรองรับ HDR10 และ Dolby Vision ที่ช่วยให้การรับชมเนื้อหาวิดีโอจาก iTunes Store, Netflix นั้นมีคุณภาพของภาพที่ดูดีมีมิติสวยงามมากยิ่งขึ้น
3. หน่วยประมวลผล ชิป A12X Bionic
A12X Bionic แบบ 8-cores เป็นชิปบน iPad รุ่นแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 7 นาโนเมตร มาพร้อมกับ Neural Engine ที่ช่วยประมวลผลได้เร็วขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า และมีโปรเซสเซอร์ร่วม M12 ในตัว เพิ่มพลังการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น รุ่นนี้ RAM จำนวน 2 ความจุคือ 4GB และ 6GB (สำหรับรุ่นความจำ 1TB) ผลการทดสอบด้วย Geekbench 4 พบว่าคะแนน Single-Core ทำได้ 5,014 และคะแนน Multi-Core ทำได้ 18,111 คะแนน ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง iPad Pro 10.5 นิ้ว 2 เท่าเลยทีเดียว
สำหรับประสบการณ์การใช้งานจริงพบว่า
- เล่นเกมหนักๆ PUBG Mobile ตั้งค่าความละเอียดกราฟิกสูงสุด เล่นได้ลื่นไหลไม่กระตุก
- ใช้งานแอปตัดต่อวิดีโออย่าง iMovie ตัดต่อคลิป 4K 30FPS (ถ่ายด้วย iPhone XS Max) และ Export 4K 30FSP ความยาว 4:31 นาที ใช้เวลา 4:43 นาที, คลิปเดียวกัน Export 1080P ใช้เวลา 1:20 นาที
- ใช้ VSCO ใส่ filter สีให้คลิป 4K (คลิปเดียวกัน) จากนั้น Export ใช้เวลาทั้งสิ้น 4:31 นาที
- แต่งภาพด้วย Lightroom CC ปรับแสง ใส่ Preset ของรูปทั้งไฟล์ JPEG และ RAW การตอบสนองทำได้ดีเยี่ยม
- ใช้งานแอป Affinity Photo ตัดต่อภาพและกราฟิกใส่หลายๆ เลเยอร์ พบว่าการต่อสนองของแอปทำได้รวดเร็วและลื่นไหลดีมาก
โดยรวมถ้าหากพูดถึงประสิทธิภาพความแรง เร็ว ในการประมวลผลแล้วหละก็ iPad Pro 2018 เป็นรุ่นที่แรงที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ ใช้งานได้อย่างลื่นไหลแน่นอน
4. กล้องหน้า TrueDepth, Animoji, Memoji, Face ID และกล้องหลัง
กล้องหน้าใน iPad Pro 2018 นี้สามารถทำได้หลายอย่างที่มากกว่าการถ่ายภาพธรรมดาทั่วไป กล้องหน้า TrueDepth ถูกเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักในปี 2017 พร้อมการมาของ iPhone X โดยความสามารถหลักๆ คือ
- ถ่ายภาพได้ทั้งภาพถ่ายธรรมดาและ Portrait ที่รองรับการจัดแสง (Portrait Lighting) มีให้เลือก 5 แบบ เท่ากับ iPhone
- โหมด Portrait สามารถปรับค่า Depth Control ระยะชัดตื้นลึกตามต้องการ ทั้งขณะถ่ายและหลังถ่ายเสร็จ
- ใช้เป็นเครื่องมือการยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติที่เรียกว่า Face ID สามารถสแกนเพื่อปลดล็อคเข้าใช้งานเครื่องได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทำได้รวดเร็วไม่ว่าจะหมุนจอแนวไหน เพียงแค่ระวังอย่าให้มือไปบังบริเวณกล้องหน้าเพียงพอ
- ใช้งาน Anomoji ซึ่งเป็นตัวอีโมจิแบบเคลื่อนไหวตามท่าทางของในหน้าเราได้ พร้อมทั้งสร้าง Memoji ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวประจำตัวเราได้ด้วย
- กล้องหลัง 12MP ไม่รองรับการถ่าย Portrait
5. พอร์ต USB-C (Thunderbolt 3) พอร์ตดียังไง ทำอะไรได้บ้าง
เป็นครั้งแรกที่ iPad ใช้พอร์ต USB-C ในการเชื่อมต่อแทนที่พอร์ต Lightning เดิม ซึ่ง 2 สาเหตุหลักๆ ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ 1. ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่มากขึ้นและ 2. การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่หลากหลายมากขึ้น หลังทดสอบใช้งานแล้วพบว่าพอร์ตใหม่นี้สามารถทำให้การใช้งานมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
- iPad สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้น รองรับ Fast Charge สูงสุดถึง 27W ด้วยการใช้อะแดปเตอร์ USB-C ที่มีกำลังมากกว่า 30W ขึ้นไป
- ทำตัวเป็นแบตสำรองให้กับอุปกรณ์ iOS ได้ เช่น ชาร์จ iPhone, Apple Watch (ต้องหาสายเพิ่ม เช่น USB-C to Lightning)
- รองรับการโอนถ่ายข้อมูล(รูปและวิดีโอ)จากอุปกรณ์อื่นๆ เช่น กล้อง DSLR, Mirroless, iPhone, External HDD (ที่ file format รองรับ ตัวอย่างนี้ใช้ ExFAT) อย่าง DJI Fly Drive, Card Reader ฯลฯ เพียงเชื่อมต่อผ่านสายเคเบิลจากนั้นแอป Photos จะตรวจพบอุปกรณ์และแสดงรูปภาพและวิดีโอที่สามารถ Import เข้าไปยัง iPad Pro ได้ หลังจาก Import ข้อมูลเสร็จก็เลือกได้ว่าจะลบหรือว่าเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้ที่ Memoet Card
- รองรับการส่งสัญญาณภาพออกไปยังจอนอกผ่าน USB-C หรือผ่านอะแดปเตอร์แปลงสาย อย่าง USB-C to HDMI เป็นต้น
ที่ชอบสุดก็เรื่องการโอนข้อมูลตรงจากกล้องใหญ่เข้า iPad นี่แหละ มันสะดวกดี โอนเข้าได้ทั้งไฟล์ JPEG และ RAW แล้วนำไปแต่งรูปต่อได้เลยไม่ต้องถอด Memory Card ออกมาต่อให้ยุ่งยาก ไฟล์ใหญ่ๆ ก็โอนถ่ายรวดเร็วดีครับ แอปแต่งรูปดีๆ ใน iPad มีเยอะแยะไม่ว่าจะเป็น Lightroom CC, Pixelmator, Affinity Photo และอย่าง Photoshop ใหม่ที่กำลังจะมาในปี 2019 ก็นำไปตัดต่อเลย มันลดเวลาการทำงานได้ค่อนข้างเยอะ ถ้าจะไฟล์ที่ iPad ไปทำต่อก็เพียงเชื่อมต่อกับเข้ากับคอมพิวเตอร์ก็จะโอนไฟล์ไปมาหากันได้แล้ว
ส่วนการส่งสัญญาณภาพที่เชื่อมต่อกับจอนอกนั้นก็เพิ่มความสะดวกสำหรับการนำเสนอผลงานเพียงเสียบสายเชื่อมต่อกับจอก็พร้อมใช้งานได้เลย
6. Apple Pencil 2 กับ iPad Pro 2018
iPad Pro รุ่นปี 2018 จะต้องใช้งานคู่กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เท่านั้น การเชื่อมต่อผ่านสัญญาณ Bluetooth โดยในครั้งแรกในการจับคู่ iPad กับ Apple Pencil ทำได้ง่ายๆ เพียงแปะ Apple Pencil ไว้ที่ด้านขอบข้างของเครื่อง (ด้านเดียวกับ ปุ่มเพิ่ม ลดเสียง) รุ่นนี้แก้ปัญหาจากรุ่นแรกที่ต้องเสียบผ่านพอร์ต Lightning ก่อนที่จะเชื่อมต่อได้ถือว่าสะดวกค่อนข้างมาก
การใช้งาน Apple Pencil นั้นด้วยดีโซน์ที่เล็กลงกว่ารุ่นแรกพร้อมด้วยการตัดฝาปิด Lightning ออก ทำให้การเก็บรักษานั้นง่ายขึ้น โอกาสที่ฝาปิดนั้นจะหายก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าจะหายรอบนี้ก็ต้องหาทั้งแท่งเลย 😀 การใช้งานนั้นก็ยังทำได้ดีเช่นเดิม การลงเส้นและการกดน้ำหนักนั้นก็ทำได้ดีและปัญหาใหม่ที่โดนแก้ไขอีกเครื่องการชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ Apple Pencil ซึ่งรุ่นนี้เพียงแปะติดไว้กับ iPad Pro ก็เป็นการชาร์จไปในตัวแล้วพร้อมทั้งบอกระดับแบตเตอรี่ที่เหลือของ Apple Pencil อีกด้วย ด้วยการออกแบบเช่นนี้ทำให้ Apple Pencil นั้นพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลาครับ
ฟีเจอร์สำคัญที่มาพร้อมกับ Apple Pencil 2 ก็คือ การดับเบิ้ลแท็ปที่ตัว Apple Pencil จากนั้นจะสามารถสลับเครื่องมือได้ เช่น สลับระหว่างปากกาและยางลบ ทำให้ลดเวลาที่จะเอื้อมมาแตะเพื่อเลือกเครื่องมือได้ ถือว่าสะดวกมากๆ นอกจากนี้แอปพลิเคชันอื่นๆ อย่าง Procreate สามารถตั้งค่าได้ด้วยว่าถ้าดับเบิ้ลแท็ปที่ Apple Pencil แล้วจะให้ทำอะไรบ้าง ซึ่งอนาคตแอปอื่นๆ ก็คงจะอัปเดตออกมาให้รองรับกับฟีเจอร์นี้มากยิ่งขึ้น
บางคนอาจจะสงสัยว่า Apple Pencil ที่แปะติดกับเครื่องมันมีโอกาสที่จะหลุดไหม? ตอบเลยว่าหลุดได้ ดังนั้นควรหาเคสที่เก็บ Apple Pencil เอาไว้ด้วยก็ดีหรือไม่ก็หาซองใส่แยกเวลาเก็บก็ได้ครับ โดยรวมแล้วการใช้งานอุปกรณ์ 2 ชิ้นนี้ร่วมกันนั้นมีความสะดวกและพร้อมใช้งานมากยิ่งขึ้น
7. Smart Keyboard Folio ใหม่
รุ่นที่ผ่านมา iPad ก็มีคีย์บอร์ดมาให้เลือกใช้เหมือนกันสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในรุ่นใหม่นี้คือ Smart Keyboard Folio ใหม่นี้การยึดติดกับ iPad จะเกาะกันด้วยแรงแม่เหล็กที่มีมากกว่า 102 จุด ทำให้คีย์บอร์ดและ iPad เกาะกันแน่นไม่หยุดง่ายเหมือนรุ่นที่ผ่านมา และการตั้งทำมุมของจอสามารถเลือกได้ 2 ระดับ จากเดิมนั้นทำตั้งได้แค่มุมมองเดียวเท่านั้น
คีย์บอร์ดจะใช้ไฟเลี้ยงจากตัว iPad เลยดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่ให้คีย์บอร์ด อีกทั้งการเชื่อมต่อใช้งานนั้นเพียงวาง iPad ลงที่เคสนี่ก็สามารถเริ่มพิมพ์ใช้งานได้โดยไม่ต้องไปตั้งค่าอะไร หลังจากที่ได้ลองพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดนี้พบว่าพิมพ์ได้ง่าย แป้นพิมพ์กว้างดีขนาดพอๆ กับ MacBook Pro 13” ทำการสามารถพิมพ์สัมผัสได้อย่างสบายๆ พิมพ์ครั้งแรกๆ อาจจะไม่ชินแต่ใช้ไปเรื่อยๆ จะพบว่ามันสะดวกและง่ายต่อการพิมพ์มากครับ
สิ่งที่ชื่อชอบอีกจุดคือคีย์บอร์ดรุ่นนี้ประกบทั้งหน้าจอและหลังเครื่องป้องกันรอยได้เลยซึ่งดีกว่ารุ่นที่แล้วที่ป้องกันเฉพาะหน้าจออย่างเดียว ส่วนขอบนั้นจะไม่ได้รับการปกป้องและจำเป็นต้องเว้นไว้สำหรับ Apple Pencil ด้วย เรื่องผิววัสดุของคีย์บอร์ดตัวนี้สวยนะแต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นรอยง่าย ถ้าออกมาแบบมาเป็นเคสหนังน่าทนและสวยกว่านี้ โดยรวมถือว่าประทับใจครับ ถ้าใช้ iPad พิมพ์งานบ่อยๆ บอกเลยว่าคุ้มครับ
8. ประสบการณ์และ FAQ ต่างๆ
- iPad Pro 2018 ใช้งานแทนคอมฯ ได้แล้วหรือไม่? ความเห็นส่วนตัวขอตอบว่ายังไม่ได้ 100% ผมว่า iPad ออกมาเป็นทางเลือกสำหรับบางงานมากกว่า ซึ่งงานบางงานแม้ทำบนคอมพิวเตอร์ได้แต่ว่าถ้าได้ iPad เข้ามาเสริมก็จะทำให้ Workflow มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เช่น การวาดภาพกราฟิกด้วย Apple Pencil บน iPad จากนั้นนำไปทำต่อบนคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ในทางกลับกันงานบางงานทำบน iPad ไม่ได้ยังคงต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ในการจัดการอยู่ ดังนั้น ณ เวลานี้ก็คงตอบได้ว่า iPad ยังแทนที่คอมพิวเตอร์ไม่ได้ครับ (สำหรับน้องๆ นักศึกษาถ้าหากเลือกว่าจะซื้ออะไรดีระหว่าง MacBook กับ iPad ผมก็แนะนำว่ายังไงก็ให้เลือก MacBook เอาไว้ก่อนแล้วถ้ามีงบต่อในอนาคตค่อยมาซื้อ iPad เพิ่มจะดีกว่าครับ)
- สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular มาพร้อม eSIM ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากเดิมมีเพียงช่องเสียบ Nano SIM เท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีให้เลือกทั้ง 2 แบบก็ไม่หมายความว่า iPad Pro รุ่นนี้จะใช้ 2 SIM ได้เหมือน iPhone XS, XS Max, XR นะ เพราะว่ามันสามารถใช้งานได้แค่ซิมเดียวเท่านั้น
- เรื่องของลำโพง iPad Pro รอบนี้ทำได้ดีมาก ระดับเสียงและความดังนั้นคุณภาพดีกว่ารุ่นก่อนหน้ามา โดยลำโพง 4 ตัวที่ทีจะติดตั้งอยู่ทั้ง 4 มุมของเครื่อง การทำงานจะแบ่งกันคือ 2 ตัวบนจะขับเสียงกลางและแหลมและ 2 ตัวกล่างจะขับเสียงต่ำ และเมื่อเราหมุนจอ ลำโพงเหล่านั้นก็จะสลับไปตามแนวของจอที่หมุน ทำให้เสียงที่ออกมานั้นฟังดูมีมิติมากขึ้นอย่างชัดเจน
- ไมค์ที่เพิ่มมาถึง 4 ตัวทำให้ iPad Pro สามารถรับเสียงได้ขึ้นทั้งการบันทึกวิดีโอและการสนทาผ่าน FaceTime หรือ Video Chat ต่างๆ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
- Wi-Fi MIMO
- การจับถือทำได้ถนัดมากยิ่งขึ้นด้วยความที่ตัวเครื่องบางลงและขนาดที่เล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าโดยเฉพาะรุ่น 12.9 นิ้ว ทำให้น้ำหนักลดลงและพกพาสะดวกมากขึ้น จากความเห็นส่วนตัวถ้าจะเล่นเกมแนะนำว่าควรใช้รุ่น 11 นิ้วจะเหมาะสมกว่าเพราะ 12.9 นิ้วอาจจะใหญ่เกินไป เมื่อถือเล่นเกมไปนานๆ จะเกิดอาการเมื่อล้าได้และการบังคับทิศทางในเกมอาจจะเอื้อมลำบากกว่า สำหรับรุ่น 12.9 นิ้วนั้นเหมาะสำหรับการนำเสนอผลงานหรือการทำงานกราฟิกที่ต้องการพื้นที่การแสดงผลที่เยอะกว่า พบว่ามีความสะดวกมาก ผมทดสอบเขียนบทความบนเว็บผ่านรุ่น 12.9 นิ้วให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับพิมพ์บน MacBook Pro ขนาด 13 นิ้ว
- ข้อควรระวัง iPad Pro รุ่นนี้บิดงอค่อยข้างง่ายดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการบิดหรือการทับและควรหาเคสหรือซองใส่เพื่อคงความสวยงามกันรอยขีดข่วนและเพิ่มความแข็งแรงป้องกันการแตกหักให้กับตัวเครื่อง
- iPad Pro และ iPad ทุกรุ่นยังไม่กันของเหลวเหมือน iPhone ดังนั้นไม่ควรน้ำไปถ่ายภาพใต้น้ำหรือโดนความชื้น
- แนะนำให้ซื้อประกัน AppleCare+ เพิ่มให้กับ iPad Pro เพื่อต่อประกันให้นานขึ้นอีก 1 ปี เมื่อรวมของเดิมจากโรงงานจะมีประกันทั้งสิ้น 2 ปี
9. สรุป
สำหรับ iPad Pro 2018 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่สำหรับรุ่นนี้ ด้วยการดีไซน์ใหม่ทั้งเรื่องหน้าจอ การตัดปุ่ม Home ออกแล้วหันมาใช้ Face ID อย่างเต็มตัว รวมถึงการเปลี่ยนมาใช้งานพอร์ต USB-C ทำให้ iPad นั้นสามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน
ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นบนอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเพียง 600 กรัม สามารถพกพาไปใช้งานได้ทุกท่านทั้งงานที่เบาไปจนถึงงานใหญ่ๆ ที่ต้องการพลังการประมวลผลที่สูงทำให้ iPad Pro นั้นเป็นอุปกรณ์ตัวเลือกหนึ่งที่นักพัฒนาแอปพลิเคชันจะต้องหันมาอัปเดตแอปของตนเองให้รันบนอุปกรณ์นี้ได้ เพราะนับวันอุปกรณ์ที่พกพาได้ง่ายและทำงานระดับสูงได้นั้นเริ่มเป็นที่นิยมมากแล้วและอนาคตก็คจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
Apple Pencil 2 เปลี่ยนวิถีของการชาร์จแบตเตอรี่และการเชื่อมต่อที่มันช่างง่ายแสนง่าย ใช้งานได้สะดวกแถมพกพาติดตัวกับ iPad Pro ได้ตลอดเวลาและพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ และ Smart Keyboard Folio ปิดจุดอ่อนเรื่องหลุดง่ายและไม่ปกป้องรอบด้านทำให้รุ่นนี้ถือว่าแก้โจทย์ที่ลูกค้าเจอมาได้ดีเชื่อว่าหลายคนที่ได้ลองใช้ก็จะรัก
2018 ถือเป็นปีที่ iPad Pro มีความกล้าในการก้าวกระโดดในหลายๆ จุดและหวังว่าในปีต่อๆ ไปจะทำให้ได้ขึ้นไปอีกมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะมีจุดที่ iPad สามารถรันแอปของ Mac ได้ไหม ถ้าถึงจุดนั้นได้จริงคงจะเป็นอะไรที่ดีไม่ใช่น้อย
ติดตามรีวิว iPad Pro 2018 เพิ่มเติมได้ที่นี่เราจะอัปเดตให้ทราบกันเรื่อยๆ ครับ
โดย แอดมินต้อม