The Verge รายงานว่า Apple เตรียมใส่ฟีเจอร์ Deep Fusion สำหรับ iPhone 11, iPhone 11 Pro มาใน iOS 13 beta ที่จะปล่อยอัปเดต เร็ว ๆ นี้ (ไม่รองรับใน iPhone รุ่นเก่า)
Deep Fusion สำหรับ iPhone 11, iPhone 11 Pro
Apple เปิดขาย iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ไปแล้วแต่ยังไม่ใส่ฟีเจอร์ Deep Fusion มาด้วย โดย Apple เผยว่าฟีเจอร์ Deep Fusion จะเปิดให้ใช้งานภายในปี 2019 นี้
Deep Fusion เป็นระบบประมวลผลภาพแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย Neural Engine ของ A13 Bionic และจะสามารถใช้งานได้ภายในปีนี้ โดย Deep Fusion จะใช้การเรียนรู้ของระบบที่ล้ำหน้าในการประมวลผลรูปภาพแบบพิกเซลต่อพิกเซล เพื่อปรับรายละเอียด ลวดลาย และนอยซ์ในทุกส่วนของภาพให้สวยงามลงตัวที่สุด
Deep Fusion เป็นฟีเจอร์ที่ทำงานเบื้องหลัง ลักษณะจะคล้ายกับ Smart HDR และไม่เหมือนกับ Night Mode ที่ผู้ใช้เลือกเปิดโหมดนี้ได้
The Verge เผยขั้นตอนการทำงานของ Deep Fusion ไว้คร่าว ๆ ดังนี้
- เมื่อผู้ใช้กดถ่ายภาพ ตัวกล้องจะบันทึกภาพทั้งหมด 3 frame ด้วย shutter speed ที่รวดเร็วเพื่อ freeze motion ในการถ่ายภาพ, และระหว่างการกดถ่ายภาพก็จะถ่ายอีก 3 shot และอีก 1 shot เพื่อเก็บ long exposure และเก็บรายละเอียดภาพ
- ภาพทั้ง 3 shot, long exposure จะถูกนำมารวมกันเป็นภาพที่ Apple เรียกว่า “synthetic long” ซึ่งไม่เหมือนกับ HDR
- Deep Fusion จะเลือกภาพจาก shot ที่มี exposure พร้อมรายละเอียดภาพที่ดีที่สุดมารวมกับภาพ synthetic long โดย Deep Fusion จะรวมเฉพาะภาพ 2 frame เท่านั้นไม่มากกว่านั้น และทั้ง 2 ภาพที่นำมาประมวลผลนั้นจะมีการปรับ noise ที่ดีกว่า Smart HDR
- ภาพจะถูกประมวลผลหลังจากนั้นแบบ pixel ต่อ pixel พร้อมการปรับรายละเอียดต่าง ๆ เช่น รายละเอียดของเส้นผม ผิวหนัง ท้องฟ้า ตามภาพที่ผู้ใช้ถ่าย
- ภาพที่ผ่านการประมวลผลก็พร้อมใช้งานแล้ว
เมื่อผู้ใช้เข้าไปดูภาพใน Camera Roll หลังจากถ่ายภาพ จะพบ proxy image ที่ถูกประมวลผลด้วย Deep Fusion ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง โดยกระบวนการของ Deep Fusion นั้นจะใช้เวลาประมวลผลประมาณ 1 วินาที นานกว่า Smart HDR เล็กน้อย ซึ่ง Deep Fusion นั้นจะไม่สามารถใช้งานได้กับโหมดการถ่ายภาพต่อเนื่องได้ (brurst mode)
ตัวอย่างภาพ Deep Fusion (จาก Apple)
The Verge เผยว่า Apple เตรียมใส่ฟีเจอร์ Deep Fusion สำหรับ iPhone 11, iPhone 11 Pro มาใน iOS 13 beta ที่จะปล่อยอัปเดต เร็ว ๆ นี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น iOS 13.2 และฟีเจอร์ตัวนี้จะสามารถใช้งานได้บน iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ไม่รองรับ iPhone รุ่นเก่า
ที่มา – 9to5mac