หลังจาก The New iPad (ต่อไปนี้ขอเรียก iPad 3 แล้วกันจะได้เข้าใจร่วมกัน) ได้ออกมานั้น กระแสตอบรับค่อนข้างดีมากทั้ง ๆ ที่ปรับหลัก ๆ แค่หน้าจอ และกล้องเท่านั้น (แต่ก็ยังขายได้นะ ขายดีด้วย) แต่ปัญหาในเมืองไทยนั้นก็เกิดขึ้น เพราะร้านค้าที่ “มักง่าย” แนะนำเคส iPad 2 ให้ลูกค้า ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนจะใช้ร่วมกันได้ มันก็จริงอยู่ครับเคส 90% ใช้ร่วมกันได้ แต่เคสบางตัวก็ใช้ร่วมกันไม่ได้ ที่แน่ ๆ เลยก็คือ iroo รุ่น LS-Series ซึ่งเป็นเคสที่ออกแบบมาพอดีเป๊ะ ๆ พอใส่กับ iPad 3 แล้วจะมีปัญหา ซึ่งอันนี้เราก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเคสตัวไหนรองรับ iPad 3 บ้าง นอกจากดูจากรูปทรงเคสเอา หรือไม่ก็เช็คกับเคสที่เขียนหน้ากล่องว่ารองรับ iPad 3 (The New iPad) แน่นอน เอาล่ะนี่ก็เกริ่นมายาวพอสมควรแล้ว ผมว่าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า กับรีวิวเคส The New iPad ตัวแรกของเว็บฯ เรา
“Ozaki iCoat Slim Y+” สามารถซื้อออนไลน์ได้ที่ BBiPhone.com
โดยราคาจะอยู่ที่ 2,590 บาท
ด้านหลังกล่องจะอธิบายการใช้งานถึงส่วนต่าง ๆ ซึ่งดูเผิน ๆ แล้วเหมือนกับ Smart Cover ใส่เคสมากกว่า แต่ดีไซน์สวยกว่ามาก ๆ เลย
เคสตระกูล iCoat ของ Ozaki นั้นมีหลายรุ่นครับ ซึ่งรุ่นนี้ก็คือ Slim Y+ และผ่านการรับรองจาก Ozaki แล้วว่ารองรับทั้ง iPad 3 (The New iPad) และ iPad 2 ซึ่งดูได้จากหน้ากล่องเลยครับ อย่าหยิบผิดล่ะ
ดีไซน์กล่องมาแบบเดิม ๆ แต่จุดเด่นคือรุ่นนี้แถมปากกา (Stylus) และเห็นโลโก้กลม ๆ แดง ๆ ตรงกลางกล่องไหมครับ นั่นคือรางวัล Reddot Design Award Winner 2012 นั่นเองครับ ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกและน้อยรายนักที่จะได้รางวัลนี้มาครอง (ในพวกเคสผมก็พึ่งจะเห็นเคสนี้แหล่ะ ที่ได้รางวัลเป็นตัวแรก)
ตัวเคสนั้นบอกก่อนเลยว่าเนื้อพลาสติกด้านอาจทำให้เลอะง่าย และวิธีทำความสะอาดก็ง่ายมาก เพียงแค่หายางลบสะอาด ๆ ซักก้อนมาถู ก็เรียบร้อยแล้ว
การติดตั้งและใช้งานในแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวอย่างคร่าว ๆ อยู่ด้านใน เอาเข้าจริง ๆ สามารถปรับแต่งได้เยอะกว่านี้
และอันนี้ก็เป็นตัวอย่างการวางทั้ง 4 ระดับมุมมองครับ เรียกได้ว่ามีองศาเยอะที่สุดเท่าที่เคยรีวิวเคสมาเลยทีเดียว
สีทั้งหมดที่มีขายครับ โดยที่นำมารีวิวในวันนี้จะเป็นสีเขียว (Modernism)
เปิดดูด้านหน้าเป็นสีเขียวสดใสดีครับ ออกแนวทันสมัย ดูเผิน ๆ จะคล้าย ๆ กับ Smart Cover แต่พอดูเข้าจริง ๆ จะมองเห็นถึงความแตกต่าง และแน่นอนว่าเคสตัวนี้ก็มีฟีเจอร์ Sleep Mode พ่วงมาด้วย ทำให้ไม่ต้องกดปิดหรือเปิดเครื่องบ่อย ๆ เพียงแค่ปิดฝาเคสเครื่องก็จะดับ แต่พอเปิดเครื่องก็จะพร้อมใช้งานตามไปด้วยนั่นเอง สะดวกมาก ๆ เลย
เปิดมาดูด้านใน ก็จะเป็นสีเขียวเข้มตัดกับด้านนอก ซึ่งเป็นยาง Polymer ส่วนตรงฝาหลังเคสจะเป็นพลาสติกเนื้อด้าน
มองดูใกล้ ๆ ไม่ได้เป็นแค่ลายนะครับ แต่เป็นงานศิลปะนูนต่ำด้วย ให้ผิวสัมผัสที่รู้สึกวิเศษมาก ๆ และดีกว่าทุก ๆ รุ่นที่ทาง Ozaki เคยได้ทำมา
ด้านหลังเป็นพลาสติกครับ แต่ก็ยังคงด้วยลวดลายเช่นเดิม สัมผัสแล้วมันนูน ๆ ออกมา ดูดีมีราคากว่ามาก เท่านั้นยังไม่พอครับ ยังมีความลับอยู่ที่ตัวล็อคด้านซ้ายมืออีกด้วย ซึ่งเราจะกล่าวถึงในย่อหน้าถัด ๆ ไป
ตรงด้านหลังนี่สามารถเลื่อนออกได้ครับ โดยจะเป็นพลาสติกเรียบ ๆ เหมือนภาพก่อนหน้า หรือจะเป็นตัวล็อคปากกา (Stylus) เหมือนภาพนี้ก็ได้ แต่น่าเสียดายตรงที่ว่ามันไม่สามารถใช้เก็บปากกา (Stylus) ที่แถมมาได้ (เพราะอะไรก็ไม่รู้ – -*)
หรือจะเก็บปากกา (Stylus) ที่แถมมากับเคสก็ได้ครับ มันมีตัวให้เลื่อนล็อคอยู่ ไม่หลุด ไม่หายแน่นอน
เมื่อทดสอบลองเอาเคสใส่เข้าไป โอ้โห !!! ใส่ได้พอดีครับท่านผู้อ่าน (ใส่ไม่ได้ก็บ้าละ – -*) แต่ที่อยากจะบอกคือว่ามันพอดีมากครับ ด้วยความที่เป็นพลาสติกทำให้มันยืดหยุ่นได้ แต่พอใส่เข้าไปแล้วจะลงล็อคเป๊ะ !!!
ตรงบริเวณส่วนลำโพงนั้นมีการเปิดโล่งเพื่อให้เสียงออกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีการบดบังใด ๆ
ตรงบริเวณสาย Sync ก็เปิดไว้กว้างพอที่จะให้จับขั้วสายถอดออก หรือเสียบเข้าได้อย่างง่ายดาย
ช่องด้านข้างก็เป็นแบบเปิดโล่งสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน ส่วนกล้องนั้นก็ได้เจาะรูมาพอดีเป๊ะ เหมาะสมกับการใช้งาน
ส่วนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไมค์ด้านบนเครื่อง ทาง Ozaki ก็ได้เก็บรายละเอียดเช่นกัน โดยการเปิดโล่งไว้สำหรับรับเสียงได้อย่างเต็มที่ ต่างจากเคสบางรุ่นที่จะมีเคสมาบังไมค์รับเสียงอีกทีหนึ่ง ส่วนฝั่งซ้านที่เป็นช่องหูฟังได้เปิดไว้ใหญ่พอสมควร ทำให้สามารถใช้กับหูฟังที่มีแจ็คใหญ่ ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา
การพับฝาเคสนั้นสามารถทำเป็นขาตั้งได้ถึง 6 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวนอนก็ตาม
มาดูด้านหน้ากันบ้างดีกว่า องศานี้เหมาะกับการรับชมภาพยนตร์เป็นอย่างยิ่ง
หรือจะปรับแบบนี้ก็ยังได้ ซึ่งเป็นการตั้งวิธีเดียวกับ Smart Cover ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง
มาดูกันที่ด้านหน้ากันบ้าง ซึ่งองศานี้เป็นที่คุ้นตาของทุก ๆ คนกันดี
การวางเพื่อพิมพ์ในแนวนอน สำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไป
ลองพับดูอีกแบบบ้าง แต่คราวนี้เป็นแนวนอน ถามเรื่องการใช้งานแข็งแรงดีไหม? ก็คงต้องตอบว่าแข็งแรงดีครับ จากที่ได้ทดสอบกันมา
หรือจะแบบนี้ก็ยังได้อยู่ แรก ๆ ก็งงครับ พลิกหัวหลิกหางมั่วกันไปหมด แต่พอได้ใช้ไปซักพักก็เริ่มชิน และปรับได้อย่างถนัดมือ
สำหรับช่องเก็บปากกา (Stylus) สามารถนำปากกามาเหน็บไว้ได้ ซึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นของ Ozaki เท่านั้นจะเป็นของเจ้าไหนก็ยังได้ ขอแค่ขนาดพอดี แต่ว่ากันตามตรงผมขอแนะนำ Ozaki iStroke L มากกว่าเพราะงานค่อนข้างดีและราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่นัก ด้ามจับถนัดมือ หรือหากใครอยากจะประหยัดใช้ปากกา (Stylus) ที่แถมมาก็ได้เหมือนกันครับ
ทดสอบใช้ปากกา (Stylus) ที่แถมมา ก็วาดได้ถนัดมือดี เพียงแต่ว่าด้ามอาจจะสั้นไปนิด ส่วนเรื่องการควบคุมหรือเรื่องอื่น ๆ นั้นสมบูรณ์แบบมาก ๆ ครับ
และเช่นเดิมทดสอบความหนาเมื่อเทียบกับเหรียญบาท ผลคือไม่หนาขึ้นกว่าเดิมซักเท่าไหร่ครับ ยังสามารถถือได้อย่างสบาย ๆ อยู่ อีกทั้งยังได้ความทนทานแข็งแรงเช่นเดิม
สรุป : ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างแพงไปนิด (บอกกันตรง ๆ เลย – -*) แต่เนื่องด้วนประสิทธิภาพของมันที่มีทั้ง Sleep Mode และมีการปกป้องทั้งฝาเคส และเคสพลาสติกด้านหลัง ทำให้เหมือนซื้อ 1 ได้ถึง 2 ลองคำนวณดูว่าแค่ราคา Smart Cover เปล่า ๆ ก็เท่าไหร่แล้ว (1,590.-) อีกทั้งเคสตัวนี้ยังแถมปากกา (Stylus) ด้วยอีกเรียกได้ว่าจ่ายครั้งเดียวได้ชุดใหญ่ไปเลย คุ้มสุด ๆ สำหรับคนที่ซื้อมาใช้งานจริง
ขอขอบคุณ : ร้าน BBiPhone.com ที่เอิ้อเฟื้อเคสคุณภาพมาให้ทีมงานได้ทดสอบ
หากท่านสนใจสินค้าตัวที่ทีมงานรีวิวนี้สามารถคลิกสั่งซื้อได้ ที่นี่