เข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมตัวออกไปเล่นน้ำกัน หลังจากที่ไม่ได้เล่นมาหลายปี เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทีมงานจึงมีวิธีที่จะช่วยป้องกัน iPhone ของเราไม่ให้เปียกน้ำหรือโดนน้ำ พร้อมสิ่งที่ควรทราบทั้งหมด มาแนะนำให้ชมกันค่ะ
iPhone แต่ละรุ่นมีมาตรฐานการทนน้ำอย่างไร
iPhone รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ก็จะมาพร้อมกับการทนน้ำตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งการทนน้ำในแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกัน เรามาชมกันว่ารุ่นไหนทนน้ำได้ระดับเท่าไหร่ และเป็นเวลานานกี่นาที
ไม่มีการระบุการทนน้ำที่ระดับ IP อย่างเป็นทางการ
- iPhone รุ่นแรก – iPhone 6S
- iPhone SE รุ่นที่ 1
ทนน้ำระดับ IP67 – ทนน้ำที่ความลึกระดับ 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
- iPhone 7
- iPhone 7 Plus
- iPhone 8
- iPhone 8 Plus
- iPhone X
- iPhone XR
- iPhone SE รุ่นที่ 2 (ปี 2020)
- iPhone SE รุ่นที่ 3 (ปี 2022)
ทนน้ำระดับ IP68 – ทนน้ำที่ความลึกระดับ 2 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
- iPhone XS
- iPhone XS Max
- iPhone 11
ทนน้ำระดับ IP68 – ทนน้ำที่ความลึกระดับ 4 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
- iPhone 11 Pro
- iPhone 11 Pro Max
ทนน้ำระดับ IP68 – ทนน้ำที่ความลึกระดับ 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
- iPhone 12 mini
- iPhone 12
- iPhone 12 Pro
- iPhone 12 Pro Max
- iPhone 13 mini
- iPhone 13
- iPhone 13 Pro
- iPhone 13 Pro Max
- iPhone 14
- iPhone 14 Plus
- iPhone 14 Pro
- iPhone 14 Pro Max
สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับประกันหรือความคุ้มครอง เมื่อ iPhone เปียกน้ำ
ถึงแม้ว่า iPhone จะมาพร้อมกับการรับประกันแบบจำกัด 1 ปีและมีมาตรฐานการทนน้ำที่สามารถป้องกันน้ำได้ในระดับที่กำหนด แต่ถ้าหากน้ำที่กระเซ็นใส่หรือ iPhone ตกน้ำ แช่น้ำ จนทำให้ของเหลวหรือความชื้นเข้าสู่ภายใน ทำให้อุปกรณ์ภายในเสียหาย ทาง Apple ก็จะไม่รับประกันหรือคุ้มครองทุกกรณี
หมายความว่า ถ้าหากเครื่องเราเสียเนื่องจากเปียกน้ำหรือโดนน้ำ เราอาจจะต้องเสียค่าบริการซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องตามที่ Apple กำหนด
แต่ในกรณีที่เราซื้อความคุ้มครอง Apple Care+ ที่ขยายระยะเวลาคุ้มครองเป็น 2 ปี นับจากวันที่เราซื้อ AppleCare+ และเพิ่มความคุ้มครองด้านความเสียหายจากอุบัติเหตุสูงสุด 2 ครั้งในทุก ๆ 12 เดือน โดยแต่ละครั้งมีค่าธรรมเนียมการให้บริการ 1,000 บาท สำหรับความเสียหายกับหน้าจอหรือกระจกด้านหลังตัวเครื่อง หรือ 3,300 บาท สำหรับความเสียหายอื่น ๆ เช่น เครื่องตกน้ำ เครื่องเสียหายจากของเหลว เครื่องเสียหายจากอุบัติเหตุ
หมายความว่า ถ้าหาก iPhone ของเราเสียหายจากน้ำหรือของเหลว และมีประกัน Apple Care+ เราก็สามารถนำเครื่องไปเคลมที่ผู้ให้บริการได้ โดยมีค่าใช้จ่าย 3,300 บาท ต่อครั้ง (เคลมได้ 2 ครั้งต่อ 1 ปี) [รายละเอียดเกี่ยวกับ Apple Care+ สำหรับ iPhone]
หากเรานำเครื่องไปซ่อมกับ Apple หรือตัวแทนผู้ให้บริการอย่าง iCare ทางฝ่ายซ่อมแซมก็จะตรวจสอบความชื้นจาก Liquid Contact Indicator (LCI) ที่อยู่ใกล้กับช่องใส่ SIM ถ้าหากน้ำหรือความชื้นไม่มาถึงจุด LCI จุดนี้ก็จะเป็นสีขาวหรือสีเงิน แต่ถ้าน้ำหรือความชื้นเข้าถึงและของเหลวสัมผัสกับจุด LCI จุดนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
เราสามารถตรวจสอบดูเองได้ โดนนำถาดซึมออกมา แล้วใช้ไฟฉายส่องด้านในเพื่อดูสีของจุด LCI ดังนั้นเวลาที่นำเครื่องไปซ่อมก็ควรบอกผู้ให้บริการตามตรงว่า เครื่องของเราโดนน้ำหรือตกน้ำมาหรือไม่
แนะนำวิธีป้องกัน iPhone เปียกน้ำ โดนน้ำ พกพาไปเล่นน้ำช่วงสงกรานต์นี้
หลังจากที่ได้ทราบมาตรฐานกันทนน้ำและข้อมูลการรับประกันของ Apple แล้ว จะเห็นได้ว่า เราควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ iPhone โดนน้ำจะดีที่สุด แต่ช่วงสงกรานต์นี้ใครหลายคนก็อาจจะอดใจไม่ได้ที่ต้องออกไปเล่นน้ำ ทีมงานจึงมีข้อแนะนำเกี่ยวกับการป้องกัน iPhone เปียกน้ำมาให้ชมกันค่ะ
1. ใส่ซองพลาสติกกันน้ำ ปิดมิดชิด
การหาซองกันน้ำมาใส่ iPhone และมีที่ปิดอย่างมิดชิด เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัย และถ้าหากมีสายสะพายด้วยก็จะทำให้พกพาได้ง่าย เราสามารถหาซื้อซองกันน้ำได้ทั่วไปตามร้านค้าหรือช้อปปิ้งออนไลน์ แนะนำให้หาซองกันน้ำที่มีฝาปิดมิดชิด กันน้ำซึมผ่านเข้าด้านในได้ดี
เมื่อซื้อซองกันน้ำมาแล้ว แนะนำให้ทดสอบโดยการนำทิชชู่เข้าไปใส่ก่อน แล้วปิดฝา จากนั้นก็ทดสอบนำซองไปจุ่มน้ำดูว่า ซองมีส่วนที่รั่วซึมหรือไม่ ถ้าหากไม่รั่วซึมก็สามารถนำไปใช้กับ iPhone ได้เลย
2. ใส่ถุงพลาสติก รัดหนังยางมิดชิด
วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนสูงมาก เพียงแค่เราหาถุงพลาสติกมาใส่ iPhone แล้วใช้หนังยางรัดให้แน่น ก็สามารถพกพา iPhone ใส่กระเป๋าไปเล่นน้ำได้
แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องการสัมผัสหน้าจอที่อาจจะใช้นิ้วสัมผัสได้ไม่ค่อยสะดวกมากนัก และวิธีนี้ก็อาจจะเสี่ยงหนังยางหลุด ถ้าหากเราเป็นสายปาร์ตี้หรือต้องเผชิญกับการเล่นน้ำแบบเอ็กซ์ตรีม วิธีนี้อาจจะต้องเพิ่มความปลอดภัยด้วยการนำไปใส่กระเป๋ากันน้ำอีกชั้นหนึ่ง
3. ใส่เคสกันน้ำ
สำหรับใครที่ต้องการพกพา iPhone ใส่กระเป๋าหรือใส่กระเป๋ากางเกง ก็สามารถหาซื้อเคสแบบกันน้ำมาใส่ได้ แต่ละเคสก็จะมีมาตรฐานกันทนน้ำแตกต่างกัน บางรุ่นสามารถใช้ดำน้ำตื้นได้ด้วย
เคสกันน้ำเหล่านี้จะมีจุกปิดช่องต่าง ๆ ของเครื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้า ข้อดีของเคสกันน้ำนี้ก็คือ สามารถกันน้ำได้รอบตัวเครื่อง และผู้ใช้สามารถแตะสัมผัสใช้งานหน้าจอได้ปกติ
แต่บางครั้งการแช่น้ำเป็นเวลานานหรือโดนน้ำที่เยอะเกินไปก็อาจทำให้น้ำซึมเข้าสู่ในเคสได้ ดังนั้นเราอาจจะต้องเช็คให้ดีก่อน
4. ใส่กระเป๋ากันน้ำ
กระเป๋ากันน้ำก็เป็นแนวทางที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่กระเป๋าต้องปิดให้มิดชิด สามารถป้องกันน้ำเข้าได้ หากกระเป๋ามีขนาดใหญ่ เราก็สามารถใส่สิ่งของอื่น ๆ เข้าไปได้ด้วย แต่การนำออกมาใช้งานอาจจะเสี่ยงโดนน้ำหน่อย หากเราไม่ได้หุ้มตัวเครื่องด้วยเคสกันน้ำหรือฟิล์มกันน้ำ ก็อาจจะทำให้เครื่องโดนน้ำได้
5. ติดฟิล์มกันน้ำรอบตัวเครื่อง
ฟิล์มกันน้ำรอบตัวเครื่องก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับ iPhone มาขึ้น เนื่องจากการสวมใส่ฟิล์มนี้จะช่วยป้องกันน้ำไม่ให้ซึมเข้าไปในเครื่องได้ ผู้ใช้สามารถหยิบจับ iPhone มาใช้งานได้สะดวก ไม่ว่าจะใช้งานสัมผัสหน้าจอ หรือโทรศัพท์ก็สามารถใช้งานได้ปกติ
แต่ฟิล์มกันน้ำ ไม่ได้กันกระแทก เวลาที่เราเล่นน้ำสงกรานต์ก็อาจเกิดความเสี่ยงที่เครื่องจะตกกระแทกพื้นได้ ดังนั้นแนะนำว่าให้เราหากระเป๋า หรือซองกันน้ำมาสวมใส่ไว้อีกชั้น ก็จะช่วยให้เราเล่นน้ำพร้อมกับพก iPhone ไปด้วยได้อย่างปลอดภัย
แนะนำ 9 สิ่งที่ควรทำทันที หลังจาก iPhone ตกน้ำหรือโดนน้ำปริมาณมาก
แต่ถ้าหาก iPhone ของเราตกน้ำหรือโดนน้ำกระเซ็นใส่ปริมาณมาก แนะนำให้เราทำตาม 9 ขั้นตอนนี้ [อ่านรายละเอียด]
แนะนำ 14 วิธี ช่วยแก้ปัญหา iPhone เครื่องร้อน ปกป้องเครื่องให้ใช้งานได้นานขึ้น
ในช่วงเดือนเมษายนนี้ อุณหภูมิก็สูงขึ้นมาก มีอากาศร้อน ถ้าหากเราพก iPhone ไปเล่นน้ำกลางแจ้ง กลางแดดร้อน ๆ ก็อาจจะส่งผลให้เครื่องและแบตเตอรี่เสียหายจากความร้อนได้เช่นกัน [ชมวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ที่นี่]
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีป้องกัน iPhone ไม่ให้โดนน้ำหรือเปียกน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ รวมถึงสิ่งที่เราควรทราบทั้งหมด ก็ขอให้ทุกคนสนุกและมีความสุขช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้นะคะ