PM 2.5 กลัมาอีกแล้ว! สิ่งที่ทุกบ้านควรมีคือเครื่องฟอกอากาศ ที่สามารถฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้คุณได้ เลือกซื้อให้ถูก ดีกว่าเสียเงินโดยใช่เหตุ
6 ข้อที่ควรรู้ก่อนซื้อเครื่องฟอกอากาศ สู้ฝุ่นและ PM 2.5 (อัปเดต 2025)
เครื่องฟอกอากาศกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหลายครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงหรือมีคนที่แพ้ง่ายในบ้าน แต่การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะสมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศ เรามี 6 สิ่งที่อยากให้คุณรู้ก่อนตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ
1. ตรวจสอบค่าประสิทธิภาพการกรองอากาศ (CADR)
CADR (Clean Air Delivery Rate) เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการกรองมลพิษ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือควัน ยิ่งค่า CADR สูงเท่าไหร่ เครื่องฟอกอากาศก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกเครื่องฟอกอากาศที่มีค่า CADR อย่างน้อย 300 และหลีกเลี่ยงรุ่นที่มีค่า CADR ต่ำกว่า 100
ตัวอย่างเครื่องฟอกอากาศที่มีค่า CADR มากกว่า 300
Xiaomi Mi Smart Air Purifier รุ่น 4/ 4 Lite / 4 Pro ทั้งสามรุ่นนี้ล้วนมีค่า CADR มากกว่า 300
เหมาะกับการฟอกอากาศในบ้านเราเป็นอย่างมาก
ลิงก์สั่งซื้อเครื่องฟอกอากาศ Xiaomi Mi (ร้าน Official) : https://s.shopee.co.th/40QvO9lqae
2. ตัวกรอง HEPA
เครื่องฟอกอากาศที่มีตัวกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) เป็นตัวกรองที่มีประสิทธิภาพสูงในการจับอนุภาคเล็กกว่า 0.3 ไมครอน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึง PM2.5 มีขนาด 2.5 ไมครอน ตัวกรอง HEPA จะช่วยให้การฟอกอากาศสะอาดขึ้นและเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้หรือหอบหืด และในประเทศไทยที่มี PM 2.5
เมื่อเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีตัวกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) ควรใส่ใจในเกรดของตัวกรองนี้ เพราะมีหลายเกรดที่แตกต่างกันตั้งแต่ H10 ถึง H14 ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กแตกต่างกันไป การเลือกเกรดของ HEPA จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้เครื่องฟอกอากาศตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างเต็มที่
ประสิทธิภาพของตัวกรอง HEPA ในแต่ละเกรด
- H12: สามารถกรองอนุภาคได้ถึง 99.5% โดยมีโอกาสที่อนุภาค 0.5% จะทะลุผ่าน
- H13: สามารถกรองอนุภาคได้ถึง 99.95% โดยมีโอกาสที่อนุภาค 0.05% จะทะลุผ่าน
- H14: สามารถกรองอนุภาคได้ถึง 99.995% โดยมีโอกาสที่อนุภาค 0.005% จะทะลุผ่าน
การเลือกเกรดตัวกรองที่เหมาะสมจะช่วยให้เครื่องฟอกอากาศของคุณสามารถกรองอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการในการใช้งาน เช่น สำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้หรือหอบหืด ควรเลือกเกรดที่มีความละเอียดสูง เช่น H13 หรือ H14 เพื่อการกรองอากาศที่สะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น (ที่มา Airgle)
ยกตัวอย่าง Xiaomi Mi Smart Air Purifier รุ่น 4/ 4 Lite / 4 Pro ใช้ตัวกรอง HEPA เกรด H13 อยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับราคา
เครื่องฟอกอากาศ Airgle เป็นรุ่นที่น่าสนใจมาก เพราะเขามีแผ่นกรองอากาศที่ถือว่าดีที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ เพราะใช้แผ่นกรอง HEPA ระดับเดียวกับที่ใช้ในการแพทย์ ผ่านการทดสอบจาก USA โดยห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพ ระดับ3 มีประสิทธิภาพกำจัด Covid-19 สูงถึง 99.998%
3. เลือกขนาดเครื่องให้เหมาะกับพื้นที่
การเลือกขนาดเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างเช่น ห้องขนาด 28 ตารางเมตรควรใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีค่า CADR อย่างน้อย 200 เพื่อให้มั่นใจว่าประสิทธิภาพการฟอกอากาศเพียงพอสำหรับห้องของคุณ
4. วางตำแหน่งเครื่องให้เหมาะสม
ตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับเครื่องฟอกอากาศคือ บริเวณที่ตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งช่วยให้การกระจายอากาศบริสุทธิ์เป็นไปอย่างทั่วถึง หลีกเลี่ยงการวางติดผนังหรือมุมห้อง และควรวางบนพื้นผิวที่เรียบเพื่อความปลอดภัย
5. น้ำหนักและความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
หากคุณงบน้อย ไม่สามารถซื้อเครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ เครื่องไว้ในบ้านได้ การยกไปฟอกที่ห้องอื่น ๆ ก็เป้นตัวเลือกที่ดี หากคุณต้องการย้ายเครื่องฟอกอากาศไปตามห้องต่าง ๆ ควรเลือกเครื่องที่มีน้ำหนักเบาหรือมีล้อสำหรับเคลื่อนย้าย เช่น รุ่นขนาดกะทัดรัด จะช่วยให้คุณใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
6. ระดับเสียงที่เหมาะสม
เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นอาจมีเสียงดังรบกวน โดยเฉพาะเมื่อปรับระดับพัดลมสูงสุด ควรเลือกเครื่องที่มีโหมดเงียบ (Silent Mode) , โหมดสำหรับการนอน หรือมีการปรับความเร็วพัดลมอัตโนมัติตามสภาพอากาศในห้อง เพื่อลดเสียงรบกวนในช่วงเวลาพักผ่อน
รับชมรีวิวเครื่องฟอกอากาศเพิ่มเติมจากเรา