iPad mini ถูกวางตำแหน่งให้เป็น eReader ด้วยขนาด 7.9″ ที่คล่องตัวและเหมาะกับการพกพามากกว่า แต่สำหรับคนที่ซื้อรุ่นแรกไปต้องขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่ามัน “ช้าเหลือเกิน” และมีสเปคเทียบเท่าเพียงแค่ iPad 2 เท่านั้นเอง แต่ในวันนี้ iPad mini 4 แรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดไม่แพ้รุ่น iPad Air
iPad mini 4
ถูกวางตำแหน่งให้ขายเพื่อแทนที่ iPad mini 3 ในราคาเดิม นั่นหมายความว่ารุ่นเก่าอาจหายากขึ้น (ซึ่งคุณก็ไม่จำเป็นต้องเสียดายอะไร) ดังนั้นหากใครคิดจะซื้อช่วงนี้แนะนำให้รอตัวใหม่ออกจะดีกว่า หรือไม่อีกทางก็คือ “รอห้างมาโละรุ่นเก่าทิ้ง”
ส่วนราคาส่งเท่าที่ผมสำรวจได้ตอนนี้ iPad mini 3 มีราคาเริ่มต้นที่ 11,900.- สำหรับรุ่น WiFi และ 16,200.- สำหรับรุ่น 4G (หากใครได้ราคาต่ำกว่านี้อาจคุ้มมาก) ส่วน iPad mini 2 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 9,900.- และทาง Apple วางตำแหน่งไว้เป็นอุปกรณ์ราคาถูก
ถึงแม้ราคาอย่างเป็นทางการของ iPad mini 4 ยังไม่เปิดขายในไทย แต่ถ้าอ้างอิงราคาเดิมของ iPad mini 3 (ซึ่งอันที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น) iPad mini 4 จะเปิดตัวที่ ราคาเริ่มต้นที่ 13,400.- สำหรับรุ่น WiFi และ 17,900.- สำหรับรุ่น 4G
หน้าจอ
สำหรับ iPad mini 4 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7.9″ ความละเอียด 2,048 x 1,536 พิกเซล (เหมือนเดิมทุกอย่าง) แต่มาการวางเลเยอร์หน้าจอใหม่เหมือนกับ iPad Air 2 ทำให้ลดแสงสะท้อนได้ถึง 56% อีกทั้งยังทำให้ดูคมชัดและสวยขึ้น เมื่อคุณสัมผัสแล้วจะพบว่ากระจกหน้าจอบางเหมือนไม่มีอะไรกั้นอยู่ ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิม
กล้อง
กล้องของ iPad mini 4 มีการปรับปรุงให้เป็นสเปคเดียวกับ iPad Air 2 เพิ่มความละเอียดกล้องหลังจาก 5MP ไปเป็น 8MP รองรับการถ่ายวิดีโอสโลว์โมชั่น
ประสิทธิภาพ
หากดูจากกราฟด้านบนเหมือน iPad mini 2 จะแรงกว่า iPad mini 1 อย่างก้าวกระโดด (และไม่ค่อยแตกต่างเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ iPad mini 3) แต่สำหรับ iPad mini 4 จะเร็วกว่า iPad mini 3 เพียงแค่ 30% และ 60% สำหรับเรื่องกราฟฟิก สรุปได้ว่า iPad mini 4 ใช้หน่วยประมวลผล M8 (ถ้ากว่า iPad Air 2 เล็กน้อย) เนื่องด้วยเหตุผลที่แบตเตอรี่ของเครื่องเล็กลงตามขนาด และทาง Apple เองต้องการให้มันใช้งานได้ 10 ชั่วโมงเท่าเดิม
ระบบไร้สาย
สำหรับการเปลี่ยนแปลงคือเปลี่ยนจาก Bluetooth 4.0 มาเป็น Bluetooth 4.2 แน่นอนว่าใหม่กว่าย่อมดีกว่า แต่ปัญหาคืออุปกรณ์อื่นที่ใช้งานด้วยยังน้อยอยู่ (อาจใช้ประสิทธิภาพได้ไม่เต็มที่) และระบบ WiFi เปลี่ยนจาก B/G/N มาเป็น B/G/N/AC ซึ่งถ้าระบบเครือข่ายของคุณรองรับจะทำความเร็วได้สูงสุด 866 Mbps เลยทีเดียว
น้ำหนักและขนาด
ขนาดทรงใกล้เคียงกับของเก่าซึ่งถ้าวัดกันจริงมันจะสูงขึ้น 3.2 มม. แต่จุดขายของมันก็คือบางลง 6.1 มม. (ลดลง 18%) ส่วนน้ำหนักก็ลดลงเช่นเดียวกันเหลือเพียง 298.8 กรัม สำหรับรุ่น WiFi และเหลือเพียง 304 กรัม สำหรับรุ่น 4G
ระบบปฏิบัติการ
ถึงแม้ว่า iPad ทุกรุ่นจะอัปเดตระบบปฏบัติการ iOS 9 ได้เหมือนกัน (ยกเว้นรุ่นแรกที่ไม่ได้) แต่สิ่งที่แตกต่างคือเรื่องฟีเจอร์แบ่งสองหน้าจอ (Split View) ที่สามารถใช้ได้บน iPad Air 2 และ iPad mini 4 เท่านั้น (เหตุผลคือด้านสเปคเพราะต้องการแรม 2GB)
สรุป
หากให้เทียบราคาตลาดในตอนนี้ iPad mini 3 ต่างกับ iPad mini 2 เพียงแค่เพิ่ม Touch ID เข้ามา (และมันก็เลิกจำหน่ายแล้ว) ราคาที่ให้เปรียบเทียบตอนนี้จึงมีแค่ iPad mini 2 และ iPad mini 4 และจากเหตุผลทั้งหมดที่ยกมาด้านบน คุณก็ต้องเลือกแล้วล่ะครับว่าส่วนต่างของราคานั้นคุ้มค่าพอกับรุ่นใหม่หรือไม่?
แต่ถ้าถามผมคิดว่าสเปค iPad mini 3 เหมือนกับ iPad mini 2 ดังนั้นให้ราคาส่วนต่างของ Touch ID ไม่เกิน 500 บาท (ถ้าแพงกว่านี้เลือก iPad mini 2 ดีกว่า) และอันที่จริงสเปคของ iPad mini 4 ก็ไม่ได้เร็วกว่าเดิมมากนัก แต่ในเรื่องประสบการณ์ใช้งานอาจ “ให้” อะไรได้มากกว่า
iPad mini 2 | iPad mini 3 | iPad mini 4 | |
16GB – WiFi | 9,900 | 11,900 | 13,400 |
32GB – WiFi | 11,700 | N/A | N/A |
64GB – WiFi | N/A | 16,100 | 16,900 |
128GB – WiFi | N/A | 19,750 | 20,400 |
16GB – Cellular | 14,400 | 16,200 | 17,900 |
32GB – Cellular | 16,200 | N/A | N/A |
64GB – Cellular | N/A | 20,200 | 21,400 |
128GB – Cellular | N/A | 24,000 | 24,900 |