จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีผู้ทดลองนำ iPhone ใส่ไว้ในลิ้นชักห้อง แล้วนำ Apple Watch Series 3 LTE ตัวใหม่ล่าสุดจาก Apple ติดตัวมาใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันแบบสุดหฤโหด
Apple Watch Series 3 LTE ไม่ต้องใช้ผ่าน iPhone ได้จริงหรือไม่?
จากที่ Apple ได้ประกาศเอาไว้ว่า “คุณสามารถไปได้ทุกที่เพียงแค่มี Apple Watch Series 3 LTE รุ่นล่าสุดนี้”
Joanna Stern (คอลัมนิสต์จาก The Wall Street Journal) จึงได้ทำการทดลองนำ iPhone ใส่ไว้ในลิ้นชักห้อง แล้วนำ Apple Watch Series 3 LTE ติดตัวมาใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันแบบสุดหฤโหด แล้วดูว่ามันจะสามารถใช้งานได้จริงและทดแทน iPhone ได้ในหนึ่งวันหรือไม่อย่างไร?
โดยเธอได้ชาร์ตแบตเตอรี่ Apple Watch Series 3 LTE ให้อยู่ในระดับ 100% และเริ่มใช้งานเมื่อตื่นนอนตั้งแต่เวลา 7:30
ในเวลา 8:05 (แบตเตอรี่อยู่ที่ 97%) เธอได้เริ่มนำ Apple Watch มาใช้ในการวิ่งจับเวลา พร้อมกับสตรีมเพลงฟังด้วยหูฟัง AirPods หลังจากวิ่งเสร็จใช้เวลาไปประมาณ 30 นาที (แบตเตอรี่อยู่ที่ 92%) เธอได้ทดลองสั่งงาน Siri ให้ส่งข้อความไปยังเพื่อนของเธอได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหา
จากกิจกรรมแรกผลปรากฏว่า เธอวิ่งได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเซ็นเซอร์ตรวจสอบสุขภาพ Biometric และผู้ช่วยส่วนตัวที่เชื่อมต่อข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพก iPhone ในการเชื่อมต่อข้อมูลให้ยุ่งยากอีกต่อไป
ในเวลา 9:15 (แบตเตอรี่อยู่ที่ 86%) เธอได้เดินทางมาเล่นเจ็ทสกีกับเพื่อนของเธอ หลังจากผ่านไป 30 นาที (แบตเตอรี่อยู่ที่ 67%) เธอได้ทดลองโทรคุยกับเพื่อนผ่าน Apple Watch
หลังจากที่เธอทำกิจกรรมทางน้ำเสร็จ ผลปรากฏว่า ด้วยโมเดลการเชื่อมต่อแบบ AT & T หากสัญญาณเครือข่ายลดลงในบางพื้นที่ เมื่อโทรอยู่อาจมีสัญญาณที่ขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง และ Siri บางครั้งก็ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ หรือแม้แต่ตัวเรือนอาจมีอาการอุ่นขึ้นหากโทรเป็นระยะเวลานาน สำหรับด้านกันน้ำเธอยืนยันว่า ตัวเรือนสามารถทนน้ำได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งความลื่นจากน้ำหรือระบบสัมผัสที่ยังใช้ได้ปรกติ อีกทั้งเธอยังได้ทดสอบการโทรใต้น้ำอีกด้วย ซึ่งผลปรากฏว่าไม่สามารถโทรหรือรับสายใต้น้ำได้นั่นเอง
ในเวลา 11:15 (แบตเตอรี่อยู่ที่ 60%) เธอได้เดินทางกลับมาที่ห้อง เพื่อมาเตรียมแบตเตอรี่สำรองใส่กระเป๋าไว้ เพราะเธอคิดว่าคงไม่เพียงพอถึงตอนเย็น หลังจากออกห้องมาเธอยังพบอีกว่าสัญญาณเครือข่ายได้หลุดไป เธอจึงปิด-เปิด Cellular เพื่อเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง
ในเวลา 11:39 (แบตเตอรี่อยู่ที่ 60%) เธอได้ออกมาซื้อกาแฟและได้ใช้ Apple Watch ในการจ่ายเงินผ่านบริการ Apple Pay ซึ่งเธอพบว่า มันง่ายและสะดวกขึ้นอย่างมาก
ในเวลา 12:30 (แบตเตอรี่อยู่ที่ 50%) เธอได้เดินทางมาถึง Office และใช้ Apple Watch ในการเขียนส่งข้อความ ส่งข้อความเสียง รวมถึงใช้โทรติดต่อในระหว่างการทำงานไปจนถึงเวลา 13:43 (แบตเตอรี่อยู่ที่ 35%)
ผลปรากฏว่า Apple Watch สามารถใช้โทรออก-รับสาย, ส่งข้อความเสียง หรือเขียนข้อความในระหว่างการทำงานได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ เพียงแต่แบตเตอรี่จะลดลงค่อนข้างไวพอสมควร จนเธอต้องทำการชาร์ตแบตเตอรี่หลังเห็นว่ามันคงใช้งานได้อีกไม่นาน (แบตเตอรี่อยู่ที่ 50%) ในตอนชาร์ตเธอยังได้ทดลองเข้าเล่น แอป Instragram, Twitter หรือแม้แต่เกม Solitaire ซึ่งเธอก็พบว่า Apple Watch ยังรองรับการเล่นแอปของบุคคลที่สามที่ค่อนข้างจำกัดอยู่
ในส่วนของการอ่านข่าวและดูวิดีโอนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ในเวลา 14:23 เธอได้ทดลองใช้ Siri ในการค้นหาข้อมูล ซึ่งเธอพบว่าการตอบสนองของ Siri ทำได้ไวมาก และการค้นหาข้อมูลก็สามารถทำได้ไว้มากเช่นเดียวกัน รวมไปถึงการเข้าดูข้อมูลด้วย
ในเวลา 15:20 เธอได้เดินทางมาเล่นกิจกรรมทางด้าน Extreme ทั้งปีนสูง กระโดดสูง เพื่อทดลองใช้การวัดอัตราการเต้นของหัวใจในแบบเรียลไทม์ และเครื่องวัดระดับความสูง (Altimeter) ซึ่งผลปรากฏว่า การวัดระดับความสูงทำได้อย่างถูกต้อง (เธอได้เอาชนะความกลัวด้วยการปีนขึ้นไปบนหอคอยที่สูงกว่า 23 ฟุต) และเมื่อเธอปีนขึ้นไปถึงด้านบนอัตราการเต้นของหัวใจเธอที่ได้รับการบันทึก คือ 157 ครั้ง/นาที จนเธอกลัวการที่จะกระโดดลงไป แต่เธอก็ฉุดคิดไม่ได้ว่า ทำไม? เธอถึงไม่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินกว่าปรกติ
หลังจากจบกิจกรรม เธอก็กลับเข้าห้องของเธอพร้อมกับ Apple Watch ในเวลา 22:34 ที่เหลือแบตเตอรี่เพียง 7% จากการชาร์ตทั้งหมด 2 รอบในหนึ่งวัน
ผลสรุปการใช้งานจริง
Cellular: การโทรออก-รับสาย สามารถทำได้ดี ง่ายและสะดวกมากขึ้น แต่ในบางพื้นที่หากสัญญาณเครือข่ายลดลง เมื่อโทรอยู่อาจมีสัญญาณที่ขาด ๆ หาย ๆ ไปบ้าง และ Siri บางครั้งก็ไม่สามารถเชื่อมต่อได้ หรือแม้แต่ตัวเรือนอาจมีอาการอุ่นขึ้นหากโทรเป็นระยะเวลานาน
แบตเตอรี่: จากการใช้งานภายในหนึ่งวันจะเห็นได้ว่าแบตเตอรี่ยังคงเป็นปัญหาหลักมาตั้งแต่ Apple Watch รุ่นแรกจนถึงรุ่นล่าสุดที่ยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเท่าที่ควร หากคุณไม่อยากพกแบตเตอรี่สำรองแล้ว ดังนั้น Apple Watch จึงเหมาะสำหรับการทำกิจกรรมสั้น ๆ ในแต่ละวันมากกว่า เช่น พาสุนัขไปเดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน เที่ยวห้าง เข้าประชุม เป็นต้น สำหรับใครที่อยากใช้แบบเต็มวันก็สามารถทำได้โดยการปิดการเชื่อมต่อในบางกิจกรรมเพื่อประหยัดแบตเตอรี่
การทนน้ำ: ในส่วนของการทนน้ำ ตัวเรือนสามารถทนน้ำได้ถึง 50 เมตร โดยไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งความลื่นจากน้ำหรือระบบสัมผัสที่ยังใช้ได้ปรกติ สำหรับการโทรออกและรับสายใต้น้ำยังไม่สามารถทำได้
Application: การใช้งานแอปต่าง ๆ ถือว่าสะดวกและใช้งานได้ง่าย ทั้งการส่งข้อความเสียง เขียนข้อความ สตรีมเพลงจาก Apple Music เข้ามาฟัง หรือแม้แต่ตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ค่อนข้างจะแม่นยำ ในส่วนแอปของบุคคลที่สามยังรองรับการเล่นที่ค่อนข้างจำกัด เช่น แอป Instragram, Twitter หรือเกม Solitaire ที่ยังไม่สามารถเล่นได้
Siri: การตอบสนองของ Siri ทำได้ไวมาก และการค้นหาข้อมูลก็สามารถทำได้ไวมากเช่นเดียวกัน รวมไปถึงการเข้าดูข้อมูลด้วย
โดยรวมแล้วถือว่าการที่ Apple Watch Series 3 มี Cellular ถือว่าเป็นข้อดีอย่างมากสำหรับผู้ที่ไม่ชอบพก iPhone ไปทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความสะดวกหรือกิจกรรมเร่งรีบต่าง ๆ (เหมาะสำหรับบุคคลทำงานที่มีธุระแทบจะตลอดเวลามากกว่า) แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเพียง Apple Watch ในการออกกำลังกายก็ให้เล็งไปที่รุ่น GPS หรือหากคุณมี Series 2 อยู่ก่อนแล้ว ก็เพียงอัปเดต watchOS 4 ให้มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ และแม่นยำขึ้น ก็เพียงพอต่อความต้องการแล้ว
ชมวิดีโอทดสอบจริง
ขอบคุณข้อมูล – The Wall Street Journal