จับ iPhone X ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายที่ออสเตรเลียเมื่อ 3 พ.ย. 2560 และในเดือนเดียวกันนี้ วันที่ 24 พ.ย.ที่ไทยก็ขายอย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน ผมเองได้ลองเล่นฟีเจอร์หลายๆ ตัวและทดสอบหลายๆ จุด แต่ก็ยังไม่ได้เขียนสรุปเป็นรีวิวแบบเต็มรูปแบบให้อ่านกันสักที ต้องขออภัยที่ช้าหน่อยสำหรับรีวิว iPhone X ครั้งนี้ ไปติดตามกันเลยว่ารีวิว iPhone X สไตล์ iMod จะเป็นอย่างไร เชิญชมครับ
ไฮไลท์ในการรีวิว iPhone X ครั้งนี้
- Face ID ระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่แทนที่ Touch ID
- ชีวิตที่ไร้ปุ่มโฮม
- เดินหน้าสู่ยุคไร้สายเข้าไปอีก ด้วยระบบการชาร์จไร้สาย
- กล้องเทพทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่นำไปถ่ายจริงได้และกล้องหน้า Portrait ที่สาย Selfie ต้องหลงรัก
- Animoji จุดเด่นเรียกแขก ฟีเจอร์ไม่เหมือนใคร อาจดูไร้ประโยชน์ แต่มันอ้อนสาวๆ ได้นะ
- จอ Super Retina HD เด่นด้วยสีสมจริง รองรับ HDR เห็นรายละเอียดที่มีมิติมากยิ่งขึ้น ดูหนังแล้วฟิน
- ติ่งจอไม่ใช่ปัญหา อย่าไปคิดมาก
- ราคา iPhone ที่แพงที่สุดตั้งแต่เปิดตัวมา ต้องใช้รสนิยมในการตัดสินใจซื้อเข้าช่วย อยากได้ฟีเจอร์เต็มกระเป๋าต้องพร้อม
- แอปพลิเคชัน ที่ต้องรอการปรับให้เข้ากับ iPhone X อย่างสมบูรณ์
รีวิว iPhone X สวัสดีต้นแบบแห่งอนาคตที่ผู้ใช้งานต้องปรับตัว
เห็นหัวข้อไฮไลท์ของเราแล้วมันช่างเยอะเหลือเกิน แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ทีมงานตั้งใจอยากให้ทุกคนได้อ่านกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ หรือผู้ที่อาจซื้อไปแล้ว ก็ลองอ่านกันดูนะครับว่า เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ มันจะตรงกับใจคุณหรือเปล่า
ก่อนเข้าสู่รีวิวรายละเอียดในแต่ละหัวข้อทีมงานขอแปะข้อมูลสเปคของเครื่องไว้ให้ชมกันก่อนครับจะได้รู้ว่า iPhone X นั้นคุณสมบัติภายในเป็นอย่างไรกันบ้าง
- ตัวเครื่องและการออกแบบ – ออกแบบใหม่หมด หน้าจอชิดขอบ ไร้ปุ่มโฮม ตัวกรอบผลิตจากสแตนเลสสตีลขัดมันอย่างดีแข็งแรงสวยงาม ส่วนด้านหน้าและหลัง ผลิตจากกระจก ION-X แบบเดียวกับที่ใช้บน Apple Watch
- หน้าจอ Super Retina HD, HDR และ TrueTone Display – หน้าจอใช้เทคโนโลยี OLED ขนาด 5.8 นิ้ว ความคมชัดสูง, ขอบเขตสี P3, พร้อมการแสดงผลแบบ High Dynamic Range (HDR) และมีเทคโนโลยี TrueTone Display เหมือนที่มีใน iPad Pro ที่สามารถปรับสภาพสีและแสงของจอให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้ใช้งานอยู่ ภาพที่ได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- กล้องหลัง – ใช้กล้องหลังคู่ความละเอียด 12MP(Wide f/1.8, Tele f/2.4 กว้างกว่า iPhone 8 Plus ที่ Tele f/2.8) 12MP เซ็นเซอร์ใหม่หมดและมีกันภาพสั่น OIS จำนวน 2 ตัว ถ่ายภาพเก็บแสงได้มากขึ้น กันสั่นได้ดีขึ้นทั้งภาพนิ่งและเคลื่อนไหว มาพร้อมแฟลชแบบ Slow Sync ทำให้ได้ภาพที่ถ่ายด้วยแฟลชดูสวยงาม
- กล้องหน้า TrueDepth และ Face ID – ชื่อเรียกใหม่เพราะชุดนี้ไม่ได้มีแค่กล้อง ยังมาพร้อมระบบสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนความเป็นเจ้าของเรียกว่า Face ID ที่มาแทนที่ Touch ID , ส่วนความละเอียดในการถ่ายภาพอยู่ที่ 7MP/ f2.2 (เท่ากับ iPhone 8, 8 Plus) แต่ที่เด่นกว่าคือ มาพร้อม Portrait Mode สำหรับกล้องหน้าด้วยและรองรับ Animoji ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว 3 มิติ จากใบหน้าของเราให้กลายเป็นการ์ตูน อีกทั้งมีแฟลชจากหน้าจอ Super Retina HD ด้วย
- Portrait Lighting -ใช้ AI และ Machine Learning มาช่วยปรับโหมดให้ถ่ายภาพ Portrait ใน iPhone X จัดแสงของภาพได้สวยงามขึ้น ใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
- การถ่ายวิดีโอ – กล้องหลังภาพถ่ายวิดีโอที่คมชัดขึ้น, เก็บ Frame Rate ได้มากขึ้นละเอียดสูงสุดถึง 4K 60fps พร้อมถ่ายวิดีโอ Slo-Mo ความละเอียด 1080P 240FPS(Slo-mo ได้ดีขึ้น) มาพร้อมระบบกันสั่น (OIS) แบบคู่ทั้งเลนส์มุมกว้างและเลนส์เทเลโฟโต้, ส่วนกล้องหน้าถ่ายวิดีโอความละเอียด FHD 1080P ได้
- ชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) – การเปลี่ยนมาเป็นวัสดุกระจก iPhone X เพื่อรองรับการชาร์จไร้สายผ่านแท่นชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi รองรับกำลังไฟสูงสุดที่ 7.5W หลังจากอัปเดต iOS 11.2
- ชิป A11 BIONIC ทรงพลัง – มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า A10X มากขึ้นไปอีก โดยชิป A11 BIONIC ผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 10nm ประมวลผลแบบ 64-bit มีประสิทธิภาพแรงมากกว่า A10 25% ประหยัดพลังงานกว่า และมีแกนประมวลผล CPU ทั้ง 6-Cores
- แบตเตอรี – 2,716 mAh ใช้งานได้นานกว่า iPhone 7 ถึง 2 ชม.
- Fast Charge – 18W ผ่านสาย USB-C to Lightning, 10W ผ่านชาร์จไร้สาย
- รองรับ AR เต็มรูปแบบ
- มาพร้อม iOS 11
- RAM 3GB
- LTE ความเร็วสูงสุด 800Mbps (Qualcomm = CAT15 (800Mbps) รับความจุสูงสุด 80MHz, Intel = CAT12 (600Mbps) รับความจุสูงสุด 60MHz ซึ่งอาจจะเป็น 3 หรือ 4CA) โมเดลที่ขายในประเทศไทยใช้ชิป LTE จาก Intel
- 802.11ac Wi-Fi รองรับ MIMO
- Bluetooth 5.0
- มี 2 ให้เลือกคือ Space Gray, Silver
- มี 2 ความจุให้เลือก 64GB และ 256GB
- ราคาเปิดตัว 64GB – 40,500 บาท และ 256GB – 46,500 บาท
- วางขายวันแรกในโลก 3 พ.ย. 2560, ในไทย 24 พ.ย. 2560
สเปคเต็มๆ อ่านแบบละเอียดที่ Apple.com
1. Face ID ระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่แทนที่ Touch ID
นับเป็นครั้งแรกของ iPhone ที่ Apple ได้ตัดระบบสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) เพื่อยืนยันตัวตนออกไป ซึ่งระบบนี้ถูกใช้งานครั้งแรกใน iPhone 5s เมื่อปี 2013 ถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 5 ปี ถือว่านานพอสมควรแล้วที่เราอยู่กับเทคโนโลยีนี้มา และการสแกนลายนิ้วมือเองก็มีจุดอ่อนเหมือนระบบอื่นๆ คืออาจมีผู้ไม่หวังดีสามารถจะหาลายนิ้วมือและนำไปพิมพ์ภาพสามมิติออกมาเพื่อปลดล็อค iPhone ได้
จึงเป็นสาเหตุให้ Face ID ถูกพัฒนาขึ้นมาและใช้เป็นรูปแบบใหม่ในการยืนยันตัวตนแทนลายนิ้วมือ ถึงแม้ว่าวันนี้การสแกนด้วยหน้านั้น ก็อาจมีช่องโหว่สามารถแฮ็คได้เหมือน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเลย ไม่ได้พูดถึงแง่ฝาแฝดหรือคนที่ใบหน้าคล้ายกัน) การที่เปลี่ยนระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่ก็เหมือนเปลี่ยนแม่กุญแจล็อคประตูแบบใหม่ของ Apple ซึ่งหากแม่กุญแจแบบเก่าโดนเจาะจนเละ อย่างน้อยแม่กุญแจใหม่ของ Apple ก็มีโอกาสที่จะรอดจากการเจาะเหล่านั้น
โดยหลักการทำงานของ Face ID นั้นจะอาศัยชุดกล้องหน้า TrueDepth ที่ปล่อยแสงอินฟาเรด 30,000 จุดมาที่ใบหน้าของผู้ใช้ และระบบจะนำค่าเหล่านั้นไปสร้างแผนภาพใบหน้าแบบ 3 มิติ เพื่อยืนยันตัวตนของบุคคลที่เข้าใช้เครื่อง
หลังจากที่ใช้งาน Face ID แล้วมีทั้งชอบและที่ไม่ชอบตามนี้
- ชื่นชอบในส่วนที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องยกมาจ่อหน้าแบบส่องกระจกก็ปลดล็อคได้
- ที่แสงน้อยและที่มืดแบบไม่มีแสงเลยก็ปลดล็อคได้
- นิ้วเปื้อนหรือมือไม่ว่าง ใส่ถุงมือ ก็ปลดล็อคสามารถดูข้อความบน Notification ได้เลยเพียงแค่มองที่จอ
- ความแม่นยำสูง สแกนจากหลายๆ มุมก็ยังปลดล็อคได้
- ปลดล็อคได้เร็ว แม้จะไม่สู้ Touch ID แต่มันก็ต่างกันเพียงเสี้ยววินาทีซึ่งพอใช้งานจริงๆ แล้วไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด
- ใส่แว่นสายตา แว่นตากันแดด หมวก เสื้อที่มีหมวก หรือแม้กระทั่งหมวกกันน็อคก็ยังปลดล็อคได้ หรือสาวๆ ที่แต่งหน้าจะเข้มหรือบางก็ปลดล็อคได้เช่นกัน
- Face ID จะเรียนรู้และจดจำใบหน้าของเราไปเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงโดยอาศัยความสามารถของชิป A11 – bionic ที่มีมันสมอง AI อยู่ภายใน เมื่อใช้งาน Face ID ไปเรื่อยๆ ระบบจะจดจำความเป็นตัวตนของเราไปเรื่อยๆ ทำให้ปลดล็อคได้อย่างสะดวกมากขึ้น
- หนวดขึ้นหนาหรือวันไหนรอยเหี่ยวย่นแสดงผลออกมาเยอะก็ยังสแกนได้ ดังนั้นเรื่องความแม่นยำนั้นหายห่วงได้เลย
- ไม่มองหน้าจอ Notification ที่เข้ามาจะไม่แสดงข้อความแต่พอมองปุ๊บ เครื่องจะปลดล็อคแล้วเราจะเห็นข้อความในนั้นเลย สะดวกดี
- การใช้งานร่วมกับแอปที่ก่อนหน้านี้ใช้ Touch ID เมื่อเปลี่ยนมาเป็น Face ID นั้นผู้ใช้แทบจะไม่ต้องทำอะไรใหม่ แค่เปิดแอป ยืนนิ่งๆ ดูที่จอระบบก็จะปลดล็อคให้ได้เลย ถือว่าง่ายดี
- ส่วนที่ไม่ชอบถ้าวางราบบนโต๊ะต้องชะโงกหน้าไปมองจอให้ได้มุมที่สมควรถึงจะดูจอได้ ไม่เหมือน Touch ID ที่แปะนิ้วไปได้เลยแม้จะวางราบในมุมไหนก็ตาม ดังนั้นอาจจะต้องหาแท่นมาวางให้เอียงสักหน่อยถ้าเอาไว้ที่โต๊ะทำงานด้วยจะสะดวกยิ่งขึ้น
- นอนตะแคงเล่นบนเตียงต้องยกคอให้หน้าพ้นจากหมอนเพื่อสแกน อันนี้ก็ลำบากหน่อย
- ไม่ชอบอีกจุดก็คือมองจอปลดล็อคแล้วน่าจะเด้งเข้าหน้าโฮมไปเลย ไม่ต้องตวัดจอเพื่อเข้าโฮม
เชื่อว่า Face ID เวอร์ชันในอนาคตจะต้องทำดีกว่านี้ได้อีกคงเหมือนๆ กับ Touch ID ที่สมัยแรกๆ นั้นการทำงานยังคงมีข้อผิดพลาดบ้างแต่พอได้รับการพัฒนาแก้ไขก็ทำให้ Touch ID นั้นทำงานได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปในแบบเดียวกันกับ Face ID ในอนาคต
2. ชีวิตที่ไร้ปุ่ม Home
ไม่มีปุ่มโฮมไม่มีปัญหา(แค่ไม่ชิน) ด้วยความที่ทาง Apple ตัดปุ่มโฮมหรือว่า Touch ID ออกไป ส่งผลให้ได้พื้นที่นั้นมาใช้ในการแสดงผลที่มากขึ้น ทำให้จอของ iPhone X มีพื้นที่การแสดงผลถึง 5.8 นิ้วซึ่งมากกว่า iPhone รุ่น Plus ที่หน้าจอแสดงผลอยูที่ 5.5 นิ้ว แต่ทว่าตัวเครื่องของ iPhone X นั้นเล็กกว่ารุ่น Plus
ส่งผลให้ Apple ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อปุ่มโฮมที่เป็นเอกลักษณ์ของ iPhone นั้นหายไป ผู้ใช้งานจะควบคุมตัวเครื่องยังไงเพื่อให้กลับมาที่หน้าหลัก (Home) ได้อย่างง่ายดายเหมือนเดิม ซึ่ง Apple ก็ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการใช้ Guesture (เจส-เจอร์) ปัดหน้าจอในมุมและทิศทางต่างๆ เพื่อควบคุมตัวเครื่อง
การบังคับหน้าจอ iPhone X เมื่อไร้ปุ่มโฮม หัวใจหลักๆ มี
- ปลุกจอให้ตื่น – ยกตัวเครื่องขึ้นมาหรือแตะจอ 1 ที
- กลับหน้าโฮม – ปัดสั้นๆ จากขอบขอล่าง
- เปิดหน้าสลับแอป – ปัดขอบจอล่างขึ้นมานิดนึง แล้วค้างไว้หน่อย
- ปิดแอปที่เปิดอยู่ – ปัดขอบจอล่างขึ้นมานิดนึง แล้วค้างไว้หน่อย จากนั้นจิ้มแอปค้างไว้แล้วปัดขึ้น(หรือแตะที่เครื่องหมายลบก็ได้)
- สลับแอปไปมา – เลื่อนขอบจอล่างซ้าย-ขวา
- เรียกศูนย์ควบคุม Control Center – ลากมุมบนขวาลงมา
- เรียกศูนย์แจ้งเตือน Notification Center – ลากตรงกลางหรือมุมซ้ายบนลงมา
- เปิดดู Widget – ลากตรงกลางหรือมุมซ้ายบนลงมา แล้วปัดขวา
นอกจากการควบคุมส่วนจอแล้วเมื่อปุ่มโฮมหายไปสิ่งที่ตามมาคือ การแคปหน้าจอ, การบังคับรีสตาร์ทเครื่อง, การปิดเครื่อง ฯลฯ ซึ่งต้องเรียนรู้ใหม่เช่นกัน
- การแคปหน้าจอ iPhone X – กดปุ่มเพิ่มเสียงและปุ่มด้านข้างพร้อมกัน
- การบังคับปิดเครื่องและเริ่มต้นใหม่ – กดเพิ่มเสียงแล้วปล่อย, ลดเสียงแล้วปล่อย, กดปุ่มด้านข้างค้างไว้จนกว่าจะเห็น โลโก้ Apple
- การปิดเครื่อง – กดปุ่มเพิ่มหรือลดเสียง พร้อมกับปุ่มด้านข้างค้างไว้ จนกว่าจะเห็นเลื่อนเพื่อปิด
นี่คือหัวใจหลักในการควบคุมตัวเครื่องที่ผู้ใช้งานต้องปรับตัว ซึ่งบอกเลยว่าช่วงแรกมันก็จะงงๆ หน่อยปัดถูกบ้างผิดบ้าง กดนั่นผิด กดนี่ถูก อยู่สักพักใหญ่ๆ แต่พอใช้งานจนชินแล้วก็จะสนุกกับการใช้งานไปเอง
ประสบการณ์จากการใช้งานจริงส่วนที่ชอบและส่วนที่อยากให้ปรับปรุง
- ชอบที่ทำให้นึกถึงสมัยเจลเบรคเครื่องและติดตั้งทวีค Activator มาใช้ตอนที่ปุ่มโฮมเสีย สมัย iPhone 4 เจอกันเลยมาก ปัดจอกันสนุกเลย
- ชอบการแคปหน้าจอแบบใหม่สามารถทำได้ด้วยมือเดียว ไม่ต้องใช้ 2 มืออีกต่อไป
- ใช้งานง่ายดีในส่วนของการกลับโฮม การสลับแอปก่อนหน้า ทำง่ายมากเพียงเลื่อนขอบจอข้างล่างซ้ายขวาเท่านั้น มันทำแล้วดูเฟี้ยว มันทำแล้วดูคูลยังไงก็ไม่รู้ ชอบๆ
- การปิดแอปในหน้าสลับแอปที่ต้องตวัดขึ้นนั้น มันช้าที่ต้องกดค้างที่แอปเพื่อปิด ตอนแรกก็คิดว่าทำไมต้องมาเสียเวลากดค้างเนี่ย แต่รู้ไหมผมชอบเครื่องหมายลบสีแดงที่มุมบนมากกว่า ยิ่งตอนเปิดแอปเยอะๆ แล้วกดปุ่มแดงรัวๆ นะ มันปิดไวมากกว่าตวัดแอปขึ้นอีก (แต่ทั้งนี้ก็งงว่าทำไม Apple ไม่ทำปุ่มปิดแอปทั้งพร้อมกันเลยทีเดียว ผมว่านะทำปุ่มนี้ออกมาผู้ใช้จะชาบูเลยแหละ นี่ก็ยังแอบอิจฉา Android อยู่เลย ฮ่าๆๆ แซวๆ)
- ไม่ชอบการเรียกศูนย์ควบคุม มันอยู่สูงไป นิ้วสั้น แตะไม่ถึงมุมบนสุด (แต่ก็รู้นะว่าใช้งานผ่าน Reachability ได้อยู่) ส่วนศูนย์ควบคุมนี้มันใช้บ่อยน่าจะเอาไว้ด้านล่างนะ อาจจะตั้งค่าให้ลากมุมจอล่างขวาแล้วค้างไว้เพื่อเปิด มันน่าจะเข้าท่ามากกว่า เป็นต้น
ส่วนนี้แหละที่คิดว่าผู้ใช้งานต้องปรับตัวเยอะที่สุดตั้งแต่ได้เครื่องมาเลย แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวก็จะชินและสนุกไปเลง
3. เดินหน้าสู่ยุคไร้สายเข้าไปอีก ด้วยระบบการชาร์จไร้สายครั้งแรกสำหรับ iPhone
การชาร์จไร้สายในสมาร์ทโฟนไม่ได้มีใน iPhone เป็นเจ้าแรก เพราะฝั่ง Android Phone นั้นมีใช้งานกันมานานแล้ว แต่เราก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าการที่ Apple กระโดดเข้ามาเล่นช่วงนี้ถือว่าเหมาะสมทั้งเรื่องเทคโนโลยีการชาร์จที่เร็วขึ้น อีกทั้งยังทำให้การชาร์จไร้สายนั้น ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และก็ต้องยอมรับอีกแหละว่า Apple กระโดดเข้ามาสู้ศึกชาร์จไร้สายในครั้งนี้ ทำให้วงการอุปกรณ์เสริมทั้งแท่นชาร์จไร้สายเอย, ที่ชาร์จไร้สายในรถยนต์เอย หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่สามารถประยุกต์เป็นแท่นชาร์จไร้สายได้นั้น กลับมามีความคึกคักมากขึ้นอีกครั้ง
iPhone X และ iPhone 8 ของปี 2017 เป็น iPhone ชุดแรกที่ทาง Apple ตัดสินใจเพิ่มเทคโนโลยีการชาร์จไร้สายเข้ามาใช้งานโดยเลือกใช้มาตรฐานการชาร์จไร้สายของ Qi Standard ข้อดีคือ iPhone สามารถใช้งานกับแท่นชาร์จของยี่ห้อใดๆ ก็ได้ที่ใช้มาตรฐาน Qi โดยไม่จำเป็นต้องซื้อจากทาง Apple เท่านั้น มันจึงเพิ่มความหลากหลายของทางเลือกในการซื้ออุปกรณ์มาใช้งานได้มากขึ้น
ข้อดีของการชาร์จไร้สายคือความสะดวกสบาย มันมีแค่นั้นจริงๆ
แต่การได้มาซึ่งความสะดวกสบาย คุณจำเป็นต้องแลกกับแบงค์สีม่วงหรือสีเทาเพื่อเอาไว้ซื้ออุปกรณ์เสริมเหล่านั้นมาใช้งานด้วย เนื่องจากอุปกรณ์แท่นชาร์จไร้สายนี้ ทาง Apple หรือแม้แต่แบรนด์อื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น Samsung เอง ก็ไม่ได้แถมมาพร้อมกับเครื่อง และราคาก็ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร ดังนั้นต้องเผื่อใจไว้หน่อยก็ดีครับ
ประสิทธิภาพการชาร์จไร้สายความเร็วในการชาร์จสูงสุดที่ Apple ระบุเอาไว้ว่าสามารถรองรับกำลังไฟที่ 7.5W ทางทีมงานเองได้ลองทดสอบกับแท่นชาร์จที่รองรับ Fast Charge และอะแดปเตอร์ MacBook Pro แบบ USB-C พบว่ากำลังไฟสูงสุดนั้นจะวิ่งถึง 10W แต่ช่วงที่กระแสวิ่งนิ่งๆ นั้นจะอยู่ที่ 7-9W ถามว่าเร็วมากไหม? มันก็เร็วกว่าเสียบชาร์จจากสายและอะแดปเตอร์ที่แถมมาในกล่องประมาณ 50% แต่มันก็ยังไม่ได้เร็วที่สุด
ผมเลยมองว่าการชาร์จแบบไร้สายนั้นเหมาะสำหรับการชาร์จเรื่อยๆ ชิลๆ เน้นความสะดวกมากกว่
การหวังที่จะประจุแบตให้เต็มเร็วที่สุดนั้น ควรไปชาร์จด้วยสาย USB-C to Lightning และอะแดปเตอร์ที่รองรับ Power Delivery (PD) จะเหมาะสมกว่า เพราะมันเร็วที่สุดแล้วสำหรับ iPhone ณ เวลานี้
การใช้งานในชีวิตจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่นั่งทำงานอยู่กับที่ เช่น พนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ทุกครั้งที่นั่งเก้าอี้แล้วเริ่มทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ เรามักจะหยิบ iPhone ออกมาวางไว้บนโต๊ะเสมอ แต่ต่อจากนี้ แทนที่การวางนั้นจะกินแบตเตอรี่ทิ้งเปล่าๆ แต่เราเปลี่ยนให้มันเป็นการชาร์จไฟเข้าไปแทนได้ เมื่อจะลุกไปเข้าห้องน้ำหรือทำธุระอื่นๆ ก็แค่หยิบออกจากแท่นโดยไม่ต้องเสียเวลาถอดเสียบสายชาร์จเหมือนเมื่อก่อนนั่นเอง เห็นมั้ยครับว่า มันสะดวกแค่ไหน 😀
แต่สิ่งที่เป็นจุดด้อยก็มีนะ สำหรับ iPhone X เมื่อใช้คู่กับชาร์จไร้สาย หากว่าเราเลือกแท่นชาร์จที่ไม่สามารถตั้งหรือเอียงทำมุมให้รองรับกับการสแกนด้วย Face ID ได้ มันจะเพิ่มความรำคาญในจุดที่เราต้องชะโงกหน้าไปมองที่จอก่อนที่เราจะเห็น Notification ที่เข้ามา ดังนั้นแท่นชาร์จที่เหมาะสม ควรจะเลือกที่ปรับให้ทำมุมได้ด้วย ผมเลยแนะนำแท่นชาร์จจาก Samsung ที่สามารถปรับเอียงได้ และใช้งานแนวราบก็ได้ แถมยังรองรับ Fast Charge อีกด้วย
4. กล้องเทพทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่นำไปถ่ายจริงได้และกล้องหน้า Portrait ที่สาย Selfie ต้องหลงรัก
กล้อง iPhone รุ่นที่ผ่านๆ มานั้นไม่ค่อยมีความน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ เท่าที่จำความได้ (ดูเหมือนนานเนอะ) ก็มี iPhone 7 Plus นี่แหละที่เริ่มจะ “ว้าว” ขึ้นมาหน่อย ตอนนั้น Apple ได้เริ่มทำกล้องคู่รุ่นแรกและสืบต่อมาถึง iPhone 8 Plus ก็มีกล้องคู่เช่นกัน ไอ้เราก็คิดว่ากล้อง iPhone 8 Plus ก็คงเหมือนๆ iPhone 7 Plus แล้ว แต่ที่ไหนได้พอได้ใช้งานจริงๆ
ทำไมกล้อง iPhone 8 Plus มันดีกว่าที่คิดเอาไว้วะ ชัด รายละเอียดดี แยกเฉดสีได้ธรรมชาติมากขึ้น HDR เก็บแสงเงาและถ่ายบุคคลได้สวยกว่า iPhone 7 Plus มาก
พอมาใน iPhone X ก็คิดว่ารุ่นนี้ก็คงพอๆ กับ iPhone 8 Plus แหละที่มันดีมากๆ อยู่แล้วสำหรับ iPhone ตั้งแต่ที่มีมา แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกที่ทำให้กล้อง iPhone X นั้นดีกว่าคือ กล้องหน้ารองรับการถ่ายภาพบุคคล, กล้องหน้าสามารถนำไปสร้างวิดีโอ 3 มิติได้, กล้องหลังรูรับแสงในเลนส์เทเลโฟโต้กว้างขึ้น (f/2.4) และเด็ดดวงด้วยการสั่นชิ้นเลนส์ (OIS) แบบ 2 ชุดให้กับกล้องหลัง ทำให้การถ่ายภาพนั้นสนุก มีสีสัน เก็บรายละเอียดได้อย่างดีเยี่ยมพร้อมทั้งประทับใจในเรื่อง Dynamic Range ของภาพและวิดีโอที่ได้อีกด้วย
งานวิดีโอดีไหม? บอกเลยประทับใจถ่าย 4K แบบ 60FPS มาเป็น Footage เก็บรายละเอียดแสงเงาของต้นฉบับได้ดีถ้าไม่คิดอะไรมากก็ตัดแล้วโพสต์ได้เลยแต่ใครอยากจะเอาไปเกรดสีก็ทำได้ ช่วยได้เหมือนกัน แต่ว่า 4K 60FPS นี่อัปโหลดลง YouTube บางบัญชีจะยังไม่รองรับเราต้องทำให้เหลือ 30FPS ก่อน แต่โดยรวมแล้วความลื่นของวิดีโอ การเก็บรายละเอียดแสง เงา และเฉดสีค่อนข้างทำได้ดีในรุ่นนี้ เรื่องกันสั่นนั้นก็ดีนะ แต่ยังคิดว่าต้องปรับปรุงมากขึ้นอีก ถ้าเดินถ่าย 4K 60FPS และหมุนกล้องเร็วเกินไปวิดีโอที่ออกมาอาจจะทำให้เวียนหัวได้ ถ้าจะใช้แบบ Production จริงๆ ควรจะมีกันสั่นเข้ามาเสริมจะช่วยได้มาก
จะเอามาทำ Facebook Live เหมาะไหม? ตอบเลยว่าดี กล้องหน้าเก็บแสงได้ดีขึ้นทำให้ Live แล้วไม่มืด เสียงจากไมค์ตัวเครื่องก็ทำได้ดีขึ้นเช่นกัน
การใช้งานจริงๆ ส่วนที่ประทับใจและก็ยังมีจุดที่คิดว่าต้องปรับปรุง
- ชอบมากเลยอย่างแรก “กล้องชัดเวอร์” เก็บรายละเอียดสิวเป็นสิว รอยตีนกามานับร้อยก็เห็นหมดแบบว่าถ่ายเองนี่ยัง “เอิ่ม ไม่กล้าถ่ายหน้าตัวเองเลย ฮ่าๆๆ” คือ กล้องมันเก็บรายละเอียดได้ชัดดีจริงๆ ไม่ว่าจะถ่ายทั้งรูปคน สัตว์ สิ่งของ วิว หรือว่าบางครั้งถ้าอยากได้รูปเร็วๆ อัปลงเว็บโดยไม่ต้องง้อก็ใหญ่ iPhone X (รวมถึง iPhone 8, 8 Plus) ก็ช่วยได้ดีมาก
- จัดแสงในโหมดภาพถ่ายส่วนบุคคล (Portrait Lighting) คืองานมันดี เลือกแสงที่ต้องการได้เหมือนมีไฟสตูดิโอยัดอยู่ในกล้อง ถ่ายเสร็จแชร์ได้เลย (ก่อนแชร์จะปรับหน้าให้นวลๆ หน่อยเดี๋ยวคนเห็นริ้วรอย คิคิ) บอกเลยประทับใจ มันทำให้โหมดภาพถ่ายส่วนบุคคลดูมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น แถมการเก็บขอบแยกส่วนชัดเบลอในรูปก็ทำได้ดีขึ้น (แต่คิดว่าต้องดีได้มากกว่านี้อีก)
- กล้องหน้าเด็ดสุดสาวๆ ยังร้อง “ว้าว” ด้วยความที่ถ่ายกล้องหน้าแบบ Portrait ได้ ปรับแสงได้เหมือนกล้องหลังและกล้องหน้าชัดขึ้นทำให้ภาพที่ได้มานั้นสวยงามและนางแบบของผมยังเอ่ยปากเลยว่า “หนูชอบมากค่ะกล้องหน้ารุ่นนี้” นั่นแหละครับ เสียงจากผู้ใช้งานจริง ผมก็เชื่อว่าถ้าคุณได้ลองก็จะคิดแบบเดียวกัน
- ถ่ายภาพย้อนแสงและโหมด HDR ทำได้ดีขึ้น รายละเอียดเก็บได้ดีและภาพออกมาดูธรรมชาติแลดูไม่หลอกตามากเกินไป
- การจัดการความสมดุลสภาพแสง (White Balance) ทำได้ดีขึ้น
- ถ่ายภาพแสงน้อยได้ดีขึ้นบางทีคิดว่าให้ปรับมาให้ซะโอเวอร์เกินจริง หลายๆ ครั้งต้องได้ปรับแสงให้ลดลงมาอีกจะได้ดูธรรมชาติมากขึ้น
- ถ่ายรูปด้วยแฟลชดูมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเนื่องด้วย iPhone X มาพร้อมแฟลช LED จำนวน 4 ดวงแบบ True Tone ที่ทำงานแบบ Slow Sync ส่งผลให้ถ่ายภาพในที่มืดด้วยแฟลชนั้นดูธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
- ประทับใจฟิลเตอร์สีในการปรับรูป ปรับได้สวยไม่ต้องพึ่งแอปอื่นๆ เหมือนเมื่อก่อน (ถ้าไม่จำเป็นจริง)
- ชอบวิดีโอ Slo-mo แบบ 1808P 240FPS ถ่ายคลิปที่เคลื่อนไหวเร็วๆให้ดูช้าและแถมชัดด้วย เหมาะกับคนเล่นกีฬาผาดโผนหรือนักกีฬาที่ต้องการดูการเคลื่อนไหว (Movement) ของตัวเองได้ด้วย
- กล้องหน้ามุมแคบเกินไปถ่ายเซลฟี่กับเพื่อนๆ เก็บได้ไม่ครบ จุดนี้ Apple น่าจะปรับได้แล้วหรือเลือกใส่มาเลย 2 ตัวสำหรับกล้องหน้า เลือกเอาจะเอามุมกว้างหรือมุมแคบ
- ควรจะมีอัตราส่วนการถ่ายแบบ 16:9 ให้เลือก เหมือนๆ กับที่ Apple มีแบบ 1:1 ให้เลือก มันสวยและเหมาะกว่ามากเมื่อเราทำการถ่ายวิว ซึ่งมันดูดีกว่า 4:3 (เข้าใจนะว่าถ่ายแล้วมา crop เอาทีหลังได้แต่ถ้ามีให้เลยมันก็สะดวกนะ)
5. Animoji จุดเด่นเรียกแขก ฟีเจอร์ไม่เหมือนใครดูไร้ประโยชน์แต่มันอ้อนสาวๆ ได้นะ
บนเวทีเมื่อครั้งเปิดตัวฟีเจอร์ Animoji ใน iPhone X นั้นได้รับความฮือฮาเป็นอย่างมากกับความสามารถของ Animoji ซึ่งเป็นการสร้างวิดีโอ 3 มิติด้วยกล้องหน้า TrueDepth ที่ทำงานประสานกันโดยการยิงแสงอินฟราเรดไปยังใบหน้าจำนวนกว่า 30,000 จุด จากนั้นระบบของกล้อง TrueDepth จะนำค่าเหล่านั้นที่วัดได้มาสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นปากขยับตามที่เราพูด ตากะพริบเหมือนที่เราทำหรือการแสดงอิริยาบถต่างๆ บนใบหน้าก็จะทำได้ตัวการ์ตูนเหล่านั้นทำตามในสิ่งที่เรากำลังทำ
Animoji อาจจะดูเหมือนไร้ประโยชน์ แต่เชื่อไหมว่าของไร้ประโยชน์แบบนี้แหละ เอาไปอ้อนสาวๆ นี่หายงอนไวเลยทีเดียว
ผมมองว่า Animoji เป็นการแสดงความสามารถอีกอย่างของกล้อง TrueDepth ที่บอกว่า “ชั้นทำแบบนี้ได้” ซึ่งเมื่อต่อไปในอนาคตมันน่าจะมีการต่อยอดอะไรที่มากกว่านี้จากเทคโนโลยีดังกล่าวได้ ซึ่ง ณ ตอนนี้อาจจะยังมองไม่ออกว่าจะไปในทิศทางไหน แต่เชื่อถือมันจะคล้ายๆ VR, AR ที่เราอึนๆ งงๆ ในช่วงแรกๆ แต่หลังๆ มานี้เราเข้าใจ VR, AR มากขึ้นและเห็นมันในชีวิตประจำวันและเห็นประโยชน์มันมากขึ้น
ข้อเสียของ Animoji คือ Apple ไม่มีแอปแยกออกมาเฉพาะสำหรับการสร้าง Animoji หรือภาพเคลื่อนไหว 3 มิติเหล่านั้นเพื่อที่จะนำไปใช้กับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้หรือยังไม่เปิดให้แอปอื่นๆ ใช้ความสามารถจากกล้อง TrueDepth ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รึอาจจะเพราะมันยังไม่สมบูรณ์มากเพียงพอทาง Apple จึงทำเพียงเท่านี้หรืออีกนัยนึงก็คือดึงดูดคนมาใช้งาน iMessage ให้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
กล้อง TrueDepth และ Animoji มันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้!!
ไม่อยากให้เป็นเพียงแค่ของเล่นที่เวลาผ่านไปมันอาจจะตกยุคและคนหมดความตื่นเต้นกับมัน ทั้งนี้ผมได้ค้นพบแอปพลิเคชันบางตัวที่ไม่มีให้โหลดจาก App Store สามารถทำให้ผู้ใช้ iPhone X นั้นบันทึกคลิปวิดีโอ Animoji ความยาวได้ไม่จำกัดเพียง 10 วินาที ถึงจุดนั้นหากนำมาประยุกต์ทำเป็นวิดีโอการเล่านิทานให้กับเด็กๆ ได้ชม มันก็น่าจะสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจได้ และผู้ใช้เองก็คงจะชอบในจุดนี้
กล้องหน้า TrueDepth และ Animoji นั้นช่วยให้พวกเขาทำภาพเคลื่อนไหว 3 มิติได้อย่างง่ายดายราวกับมืออาชีพ
ซึ่งนั้นแหละคือคุณค่าที่แท้ทรู(จริง) ของฟีเจอร์นี้
6. จอ Super Retina HD เด่นด้วยสีสมจริงด้วย TrueTone Display รองรับ HDR เห็นรายละเอียดที่มีมิติมากยิ่งขึ้น ดูหนังแล้วฟิน
จุดเด่นอีกหนึ่งเรื่องที่จะไม่พูดถึงก็เห็นจะไม่ได้นั่นคือหน้าจอแบบใหม่ไฉไลกว่าเก่าบน iPhone X ซึ่งรุ่นนี้ถือว่าเป็นการนำเทคโนโลยีจอ OLED (Organic Light-Emitting Diode) มาใช้บน iPhone เป็นครั้งแรกจุดเด่นของจอชนิดนี้อยู่แสงสีที่สวยงาม ดำก็ดำสนิทและประหยัดพลังงานอีกด้วยแถมค่าความสว่างเมื่อใช้งานการแจ้งนั้นทำได้ดีเลยทีเดียว
Apple เรียกชื่อจอใหม่นี้ว่า Super Retina HD ซึ่งแน่นอนว่าต้องดีกว่า Retina HD แน่ๆ ไม่งั้นไม่มีคำว่า “Super” หรอกว่าไหม 😀 แต่ประเด็นมันอยู่ที่ถ้าพูดถึงเรื่องสเปคภายในของจอที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยดูกันสักเท่าไหร่ ผมก็จะบอกว่า
iPhone X (458PPI) และ iPhone 8 (326PPI), 8 Plus (401PPI) เนี่ยใช้จอคนละแบบนะ X ใช้ OLED ส่วน 8 ใช้ LCD โดยจอของ iPhone X จะละเอียดกว่า สว่างกว่า แสดงรายละเอียดสีได้ดีกว่าอย่างชัดเจน
แต่ทว่าการใช้งานจริงนั้นเมื่อดูด้วยสายตาคนทั่วไปก็จะบอกเหมือนกันว่า “มันก็ชัดเหมือนๆ กันนี่นา” ฮ่าๆๆ ดังนั้นจะไม่ขอลงรายละเอียดเชิงเทคนิคจอมากแต่ว่าจะบอกว่าการใช้งานทั่วไปที่พบจากจอ iPhone X นั้นประทับใจจุดไหนบ้าง
- สวยงามตามแบบฉบับของ Apple จุดที่จอบน iPhone X ทำมุมโค้งรับตัวเครื่องได้อย่างลงตัวแบบที่ไม่เคยเห็นใน iPhone รุ่นไหนมาก่อน
- ชอบแน่นอนเรื่องความชัดที่มากขึ้น สีสันที่สดขึ้นแสดงสีได้มากขึ้น สมจริงมากขึ้น
- ชอบที่รองรับ HDR เมื่อดูหนังที่ทำภาพออกมารองรับ HDR เวลาดูแล้วจะรู้สึกได้ว่าภาพที่เรากำลังดูนั้นมีมติมากขึ้นอย่างชัดเจน
- การดูรายละเอียดภาพถ่ายและวิดีโอจะสามารถแยกรายละเอียดแสง เงาและเฉดสีได้ดีมากขึ้น สำหรับใครที่ใช้ในสายงานกราฟฟิกคงจะชอบจุดนี้ด้วย
- ชอบ tap to wake ที่สามารถแตะที่หน้าจอ iPhone X ได้แล้วจอจะสว่างขึ้นพร้อมใช้งานต่อได้เลย
- ในส่วนของ TrueTone Display เป็นความสามารถการปรับสีจอให้เข้ากับสถาพแวดล้อมที่ใช้งาน ส่วนนี้เป็นการเพิ่มความสบายให้กับสายตาลดแสงฟ้าที่ไม่จำเป็นที่จะเป็นอันตรายต่อตาได้ แต่ทั้งนี้จอ TrueTone Display หลายคนจะบนว่า “มันเหลืองไป ทำไมไม่ขาวเลย” คืออยากจะบอกว่าสีแบบนี้แหละมันคือสีจริงเป็นสีที่ตาเราควรจะเห็นแบบนั้นจริงๆ มันดีต่อสายนะ จอขาวๆ ฟ้าๆ เกินไปนั้นแหละที่ไม่ดีต่อตาเรา ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมองว่าจอมันเหลืองเกินไปยิ่งเฉพาะตอนเปิด NightShift หละก็ เราสามารถปรับค่าลดอุณภูมของแสงก็ได้นะ
นั่นคือมุมมองและความเห็นเกี่ยวกับจอ OLED ตัวใหม่ใน iPhone X ที่อยากจะเล่าให้ได้ชมกัน แต่ขอบอกเลยว่าจอนี้และมีส่วนทำให้ iPhone รุ่นนี้แพงขึ้นเอามาก 😀 ดังนั้นอย่าทำแตกนะเพราะค่าซ่อมเจอนั้นแพงกว่า iPhone SE ทั้งเครื่องเสียอีก 😀
7. ติ่งจอไม่ใช่ปัญหาอย่าไปคิดมาก
ตั้งแต่ iPhone X เปิดตัวแต่ว่ายังไม่วางขายผมมักจะเห็นคอมเมนต์ลักษณะนี้อยู่เสมอว่า “iPhone X ไม่สวยเพราะจอแหว่งนี่แหละ ไม่ซื้อมันละดูแล้วขัดตา” ถือว่าเป็นประโยคคลาสสิคมากๆ เลยสำหรับรุ่นนี้ บ้างก็แซวว่า “iPhone มีติ่งหรือไม่ก็ iPhone ฟันหลอ” ฯลฯ แซวกันไปต่างๆ นานา
แท้จริงแล้วคำที่เรียกอย่างถูกต้องคือ “รอยบาก” บน iPhone X ต่างหากหละ 😛 ต้องเรียกแบบนี้นะถึงจะถูก
แว๊บแรกที่เห็นคือรำคาญคิดว่ามันคือส่วนเกิน แต่พอนานไปเข้าใจแล้วว่ามันคือ เอกลักษณ์ของรุ่นนี้ที่ใครมองเห็นแล้วรู้เลยว่านี่คือ iPhone
รอยบากมันทำให้เป็นที่จดจำได้ง่าย ทำให้ผู้ใช้แยกออกว่าเครื่องนี้คือ iPhone และรอยบากนี้เองนอกจากจะเป็นต้นแบบให้ iPhone ในอนาคตแล้วอาจจะเป็นต้นแบบที่สำคัญให้กับสมาร์ทโฟนค่ายอื่นๆ ทำตามอีก รอชมปี 2018 เป็นต้นไปว่าจะจริงไหม และรอยบากที่นี่เองตอนแรกคิดว่ามันจะบดบังสายตาหรือขวางหูขวางตาตอนใช้งานแต่เอาจริงแล้วมันแทบไม่ใช่ปัญหาเลย
ด้วยความที่
- ทุกครั้งที่ใช้งานแอปทั่วไป เช่น Facebook, LINE, Messenger ฯลฯ เมื่อเราพิมพ์แชทนั้น ส่วนที่สายเรามองมากที่สุดคือบริเวณแป้นพิมพ์ แน่นอนว่ามันไม่ได้อยู่บนสุดของจอแน่นอน พอใช้งานไปแล้วแทบจะลืมไปเลยเรื่องรอยบากนั้น
- แอปต่างๆ ที่พัฒนาให้รองรับ iPhone X มักจะออกแบบให้เหมาะสมเสมอมันดูลงตัว มันดูสวยงามเข้ากันได้ดีแถมติ่งที่ยื่นออกตรงนั้นแทนที่ จะเป็นพื้นที่ว่างเปล่าแต่ Apple กลับออกแบบให้มันสามารถใช้งานได้ นั่นมีดีมากกว่าเสียไม่ใช่หรือ?
- ดูหนังมันก็บังสิแบบนี้ไม่เวิกร์!! นี่คืออีกหลายเสียงที่บ่นเรื่องนี้ แต่รู้ไหมว่าแอปดูหนังชื่อดังอย่าง Netflix เข้าออกแบบมาเรียบร้อยสามารถดูหนังได้และแสดงผลได้อย่างเหมาะสมด้วย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะบดบังแต่อย่างใด
- เราเลือกที่จะซูมให้พอดีหรือว่าซูมให้เต็มพื้นที่จอทั้งหมดเลยก็ยังได้
- จะถ่ายรูปหรือคลิปวิดีโอส่วนรอยบากนั้นก็ไม่ได้บังแต่อย่างใด
- จะดูคลิปใน YouTube ก็เลือกที่จะซูมแบบพอดีหรือจะเลือกซูมแบบเต็มพื้นที่จอทั้งหมดก็ทำได้ ไม่ทำให้เสียอารมณ์ในการรับชมต่ออย่างใด
ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจไปสำหรับรอยบากหรือว่าติ่งของ iPhone X นั้น มันไม่ได้มีผลร้ายต่อการใช้งานของเราเลย
8. ราคา iPhone ที่แพงที่สุดตั้งแต่เปิดตัวมา ต้องใช้รสนิยมในการตัดสินใจซื้อเข้าช่วย อยากได้ฟีเจอร์เต็มกระเป๋าต้องพร้อม
ประเด็นนี้ไม่พูดถึงคงไม่ได้แหละสำหรับ iPhone X ที่ขึ้นแท่น iPhone รุ่นที่แพงที่สุดตั้งแต่ iPhone เปิดขายมา ในรอบ 10 ปี หลายๆ คนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำไมมันแพงจังวะ” (ผมอีกคนแหละที่บ่นแต่ก็ซื้อเหมือนเดิม) มันทำไมแพง มันทำไมดีกว่าชาวบ้านเขา อยากรู้ก็ต้องไปตำมาให้โดน
รุ่นนี้จากความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่าที่แพงกว่าแต่ก่อนเพราะว่า Apple ต้องการให้มี iPhone รุ่น Premium แยกออกมาเหมือนกับที่มีใน MacBook ที่แบ่งเรื่องราคา ประสิทธิภาพและการดีไซด์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทำให้ iPhone X ถือว่าเป็น iPhone รุ่นพรีเมี่ยมตัวแรกที่แยกออกมาได้สำเร็จและตลาดตอบรับเป็นอย่างดี แม้ราคาจะสูงกว่าปกติก็ตาม
แต่ใช่ว่าจู่ๆ ก็จะขึ้นราคาเลยนะแบบนั้นมันก็ไม่ใช่!!
ด้วยจุดเด่นที่ทาง Apple พยายามให้ iPhone X นั้นดูพรีเมี่ยมและเหนือกว่า iPhone 8, 8 Plus คือ วัสดุที่ใช้ผลิตเร่ิมตั้งแต่เคสตัวเครื่องที่ใช้สแตนเลสสตีลในการขึ้นโครงทำให้ดูหรูหราว่าการใช้อะลูมิเนียมใน iPhone 8 หรือการเปลี่ยนใช้หน้าจอ OLED ที่มีความพิเศษมากกว่ารุ่นเดิม และใหม่แกะกล่องกับ Face ID ที่ใช้กับ iPhone X รุ่นแรกทำให้แตกต่างโดดเด่นและเป็นอนาคต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้ผู้ใช้งานบางกลุ่มยอมควักเงินเกือบ 50,000 บาทเพื่อซื้อ iPhone X มาใช้งาน และที่จะมองข้ามไม่ได้คือ
ความเป็นแบรนด์ของ Apple ที่พยายามจัดสินค้าของตนเองนั้นให้อยู่ในกลุ่มแฟชั่น
สิ่งนี้ทำให้แตกต่างจากแบรนด์สินค้นไอทีทั่วไป ก็เหมือนอย่างที่ผมบอกไว้ว่า “จะซื้อ iPhone X นั้น ต้องใช้รสนิยมเข้ามาช่วยในการซื้อด้วย” เพราะถ้ามองแต่เหตุผลความว่ารุ่นอื่นๆ ก็ทำแบบเดียวกันได้ เชื่อเหอะว่าไม่ได้ซื้อรุ่นนี้มาใช้อย่างแน่นอน มีมือถือถูกๆ กว่านี้เยอะและ iPhone รุ่นถูกกว่า iPhone X ก็มีให้เลือก แต่ทำไม iPhone X ยังเป็นที่ต้องการลองตลาดเป็นอย่างมาก
อย่าลืมไปว่าราคา iPhone ที่จ่ายไปนั้นมีค่า “ฮาร์ดแวร์คือตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์คือตัว iOS และแอปต่างๆ จาก Apple ที่ปล่อยให้ใช้ฟรีอัปเดตฟรีตลอดการใช้งาน และค่าบริการหลังการขายที่จะคอยดูแลผู้ใช้จนกว่าชีวา iPhone รุ่นนั้นจะหาไม่” มันคือความคุ้มค่าสำหรับการลงทุน ที่ผู้ใช้ iPhone หลายคนประทับใจในจุดที่ iPhone ของเขานั้นใช้งานได้นานหลายปีคุ้มค่าแล้วกับสิ่งที่จ่ายไปแลกกับสิ่งที่ได้รับกลับมา
ยัง ยังไม่จบ ซื้อ iPhone X ต้องเผื่อซื้อของแต่งด้วยนะ
บอกแล้วรุ่น Premium ต้องทำใจ ฮ่าๆๆๆ อย่างที่บอกไปว่า iPhone X นั้นราคาแสนแพงอยู่แล้วถ้าอยากได้ครบเซ็ตทั้งชาร์จเร็ว, ชาร์จไร้สาย, ฟิล์มกันรอยและเคส คิดง่ายๆ ต้องมีเงินสำรองไว้อีกสัก 5,000 บาท ถึงจะครบ ลองคิดคร่าวๆ ให้นะ
- แท่นชาร์จไร้สาย 1,xxx-2,xxx บาท
- อะแดปเตอร์ที่รองรับ Power Delivery (USB-C) ประมาณ 9xx – 1,xxx บาท
- สาย USB-C to Lightning 890 บาท
- กระจกกันรอย XXX – 1,xxx บาท
- เคสกันกระแทก xxx – 2,xxx บาท
นี่คือสิ่งที่ต้องจัดให้ครบเซต ฉะนั้นดูแล้วมันก็จะงงๆ เบลอๆ หน่อยและปลอบใจตัวเองด้วยคำว่า “ของมันต้องมีและของมันก็ดีต่อใจ” เพียงแค่เราใช้แล้วมีความสุข เท่านั้นก็มีค่าแล้ว 😀
9. แอปพลิเคชัน ที่ต้องรอการปรับให้เข้ากับ iPhone X อย่างสมบูรณ์
ครั้งแรกที่ได้ใช้งาน iPhone X กับแอปพลิเคชันที่คุ้นชินอย่าง LINE บอกเลยว่า “ขัดใจมากๆ” ด้วยความที่แอปยังปรับปรุงให้ใช้งานคู่กับ iPhone X ให้แสดงผลอย่างเต็มประสิทธิภาพกับหน้าจอที่ใช้อัตราส่วนแบบใหม่ (ซึ่งภายหลังแอป LINE อัปเดตรองรับ iPhone X สมบูรณ์แล้ว) ความรู้สึกนี้นึกถึงสมัยหน้าจอ Retina ใน iPhone 4 ที่แอปต้องปรับปรุงให้แสดงผลละเอียดมากขึ้นและสมัย iPhone 6, 6 Plus ที่แอปต้องทำให้รองรับหน้าจอรุ่น Plus จึงจะลงตัว นั่นก็ใช้เวลานานพอสมควรก่อนที่นักพัฒนาจะตามทัน
แอปพลิชันกับ iPhone X, เรื่องที่ผู้ใช้ต้องเข้าใจและเรื่องที่นักพัฒนาต้องปรับปรุงให้ทัน
iPhone X อีกหนึ่งฝันร้ายของนักพัฒนาที่ต้องไล่อัปเดตแอปของตัวเองให้ทันกับอุปกรณ์ใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ระเวลาสักพักด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นการคัดกรองนักพัฒนาและแอปที่ดีไปในตัว เพราะหากแอปไหนยังไม่กระดิกตัวเพื่ออัปเดตมันก็สื่อให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากทิ้งไว้นานๆ ก็คงจะไม่เป็นผลที่ดีแน่ๆ
หลายแอปที่ยังทำงานร่วมกับ iPhone X ไม่สมบูรณ์ 100% อย่างเช่น แอปจากธนาคารต่างๆ ที่มีเพียงไม่กี่ที่ที่อัปเดตเรียบร้อยแล้ว หรือเหล่า Gamer เองก็ต้องทำใจกับแอปเกมที่ตัวเองเล่นอยู่แล้วมันยังไม่สมบูรณ์อย่าง ROV ที่หลายๆ คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะอัปเดตให้รูปหล่อเข้ากับ iPhone X ซะที
จุดนี้แหละที่ผู้ใช้งานต้องทำใจนะครับ หากอยากจะให้แอปไหนอัปเดตเร็วๆ ก็ช่วยกันรีวิวแอปนั้นใน App Store เยอะๆ อย่างน้อยก็จะทำให้นักพัฒนารู้ว่า “ยังมีคนที่รอการอัปเดตจากแอปของคุณอยู่”
สรุป
นั่นคือประเด็นหลักๆ ที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังหลังจากได้ใช้งาน iPhone X มาอย่างยาวนานและคิดว่าน่าจะตอบคำถามของหลายๆ คนว่ารุ่นนี้ดีไหม โดยรวมๆ สรุปให้เลยว่า
- iPhone X เป็นรุ่นที่พรีเมี่ยมที่สุดของ iPhone ปี 2017 นี้
- iPhone X แพงที่สุดตั้งแต่ที่ผลิตมา ต้องพร้อมทั้งกำลังทรัพและต้องพร้อมสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- iPhone X ใช้หน้าจอที่ดีที่สุดเท่าที่ Apple ผลิต iPhone มา และมาพร้อมเทคโนโลยี Face ID ในแบบที่ไม่เคยมีสมาร์ทโฟนรุ่นใดเคยทำแบบใช้งานได้จริงๆ จังๆ มาก่อน
- iPhone X มันไม่ได้เหมาะสมกับทุกคน จริงๆ แล้วมันเหมาะสำหรับ Early Adopter หรือผู้ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีใหม่กลุ่มแรกๆ ซึ่งผมมองยังรุ่นนี้ “ยังไม่เข้าที่เข้าทางแบบ 100% ” ซึ่งแน่นอนว่าอนาคตนั้นมันต้องมีสิ่งที่ดีกว่า X แน่ๆ ถ้าคุณรอไหวก็ไม่ว่ากัน
- iPhone X มันคือต้นแบบของ iPhone ยุคใหม่ ไม่ว่าคุณจะไม่ได้ใช้งานมันในวันนี้แต่ยังไงในอนาคตก็จะหนีไม่พ้นอย่างแน่นอนถ้าคุณคิดจะใช้ iPhone อยู่
- ผมยังมีความเสียดายที่ iPhone X ไม่มีรุ่น Plus
- ถ้าถามว่า iPhone X กับ iPhone 8 Plus จะเลือกอะไรดี ตอบให้เลยว่า ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องทุนหละก็จัด iPhone X ไปเลย เพราะคุณจะได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าคุณจะหาจาก iPhone รุ่นไหนไม่ได้
รีวิว iPhone X สำหรับครั้งนี้ก็คงจบไว้เพียงเท่านี้แต่ว่า iPhoneMod ก็ยังจะมีรีวิวการใช้งาน iPhone X อื่นๆ มาให้ชมกันเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี 2017 ไปจนถึง 2018 นี้ ฉะนั้น หากมีคำถาม ข้อสงสัยหรือว่าอยากให้เจาะลึกลงจุดไหนก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ ทางอีเมล [email protected] ทีมงานจะพยายามนำข้อมูลเหล่านั้นมานำเสนอให้ได้ชมกันครับ
ทิ้งท้ายไว้ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ iPhone X ที่น่าสนใจ
- รวมคลิปสอนการใช้งาน iPhone X เบื้องต้นที่ทุกคนควรทราบ
- คู่มือผู้ใช้งาน iPhone X เบื้องต้นเวอร์ชันภาษาไทย
- การใช้งาน iPhone X ด้วยมือเดียว
- พรีวิว iPhone X เครื่องจริงที่เปิดขาย เว็บแรกในไทย
- คอนเฟิร์ม iPhone 8, 8 Plus, X รองรับชาร์จเร็วไร้สายใน iOS 11.2 สูงสุด 10W
- ถ่ายด้วย iPhone X ชุดที่ 1 กล้องสดไม่ปรับแต่ง ชมกันเยอะๆ เลย
- ถ่ายด้วย iPhone X ชุดที่ 2 ภาพถ่ายบุคคลโหมด Portrait และจัดแสง Portrait Lighting
ทั้งนี้ขอขอบคุณเพื่อนๆ ในวงการ Apple ที่ได้พูดคุยกันแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันเกี่ยวกับ iPhone X โดยเฉพาะคุณกั้ง Siampod ที่ได้แชร์ไอเดีย iPhone X กับผมไว้ค่อนข้างเยอะ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นค่อนข้างที่จะมีประโยชน์และผมได้นำมาเล่าให้ฟังไว้ในรีวิวครั้งนี้
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่อ่านรีวิวมาจนจบและขอบคุณที่สนันสนุน iPhoneMod เรื่อยมา
สำหรับครั้งนี้คงฝากไว้เพียงเท่านี้ไว้พบกันในรีวิวครั้งหน้า
สวัสดีครับ
แอดมินต้อม