คิดซะว่าบทความนี้เป็นความรู้สึกครั้งแรกที่ได้จับและลองใช้งาน Amazfit GTR Lite แล้วมาเล่าให้ฟัง โดยจะพูดถึงสิ่งที่อุปกรณ์นี้ที่ทำได้และข้อมูลที่ผู้ใช้ควรทราบ โดยอ้างอิงจากประสบการณ์การใช้ Apple Watch พร้อมบอกถึงความประทับใจและข้อดีข้อด้อยต่าง ๆ ที่พอมองเห็นหลังจากได้ทดสอบช่วงสั้น ๆ นี้
Amazfit GTR Lite สมาร์ตวอชดีไซน์คลาสิก ฟังก์ชันดี รองรับภาษาไทย ใช้งานได้นาน 24 วัน รีวิวโดยสาวก Apple Watch
Disclosure : รีวิวนี้ได้รับการสนับสนุนโดย Xiaomi Youpin และ Umix แต่ข้อมูลเนื้อหาและรีวิวความเห็นต่าง ๆ มาจากผู้เขียนโดยตรง
ทำความรู้จักกับนาฬิกาจากแบรนด์ Amazfit และก็มาดูซีรีส์ของนาฬิกา Amazfit GTR ก่อนที่จะไปชมรีวิวนะครับเพื่อให้รู้ข้อมูลพื้นฐานของอุปกรณ์นี้เสียก่อน
ทีมที่อยู่เบื้องหลังของแบรนด์ Amazfit คือ Huami ซึ่งเป็นเครือของทาง Xiaomi โดยทาง Huami นั้นมีประสบการณ์ด้านอุปกรณ์ Wareable มาค่อนข้างมากและมีส่วนแบ่งทางการตลาดของ Wearable ติด Top 5 ของโลกในต้นปี 2020 เลยทีเดียว ดังนั้นจึงทำให้ Amazfit เป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถืออย่างแน่นอนในเรื่องนี้
ต่อไปมาดูซีรีส์ของนาฬิกา Amazfit GTR กันบ้าง ซึ่งในซีรีส์นี้จะแบ่งเป็น 2 รุ่นได้แก่
- Amazfit GTR
- Amazfit GTR Lite
ซึ่งรุ่นที่กำลังรีวิวนั้นเป็นตัวที่ 2 คือ Amazfit GTR Lite ส่วนความแตกต่างของ GTR และรุ่น GTR Lite คือฟังก์ชันการทำงาน สเปกด้านประสิทธิภาพและเรื่องของราคา โดย Amazfit GTR Lite จะตัด GPS ออก, ลดโหมดการออกกำลังกายจาก 12 โหมดให้เหลือ 8 โหมดและจำนวน ROM กับ RAM ที่น้อยกว่า ส่วนฟีเจอร์หลัก ๆ จะมีความคล้ายคลังกันหมดทั้งเรื่องหน้าจอ, ดีไซน์, ปุ่มกดต่าง และที่สำคัญอีกจุดหนึ่ง คือ ราคาถูกกว่า หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่นี่
จุดเด่นของ Amazfit GTR Lite
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.39 นิ้ว สีสวยงามคมชัดรองรับระบบสัมผัส
- ดีไซน์หน้าปัดแบบวงกลมให้ความคลาสิกลุค
- รองรับการออกกำลังกาย 8 ชนิด เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป
- ทำงานร่วมกับ iPhone และ Android ได้ พร้อมความสามารถในการแจ้งเตือนและควบคุมการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้
- แบตเตอรี่ยาวนาน 24 – 74 วัน
- กันน้ำได้ดีระดับ 5ATM หรือ 50 เมตร
- มีแอปควบคุมการทำงาน
แกะกล่อง
Amazfit GTR Lite มาพร้อมกล่องสีดำภายในจะประกอบไปด้วย นาฬิกา Amazfit GTR Lite จำนวน 1 เรือน, สายชาร์จ USB-A to Manatic Charging Dock และคู่มือการใช้งาน (ไม่มีภาษาไทย)
ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัส Amazfit GTR Lite มาพร้อมหน้าจอทรงกลมและมีปุ่มกดด้านข้างตัวเรือนด้านขวาอีก 2 ปุ่ม ปุ่มบนจะมีแถบสีแดงภายในทำให้จดจำหน้าที่ของปุ่มได้ง่ายขึ้น ซึ่งปุ่มทั้ง 2 จะมีหน้าที่ที่ต่างกัน, หน้าจอ AMOLED แสดงผลความละเอียดสูงสีสรรค์สวยงาม
หน้าจอมาพร้อมระบบสัมผัส ใช้กระจกนิรภัย Gorilla Glass 3 จาก Corning ที่มาพร้อมการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ตัวเรือนใช้ Aluminum Alloy แข็งแรงทนทาน ด้านล่างมาพร้อมเซนเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจและพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อกับแท่นชาร์จ และมาพร้ามสายนาฬิกาใช้วัสดุซิลิโคนสีดำ
ข้อมูลทางเทคนิค
ข้อมูลทั่วไป | ยี่ห้อ : Amazfit ผู้ผลิต : Huami รุ่น : GTR Lite หน้าจอ : AMOLED ความละเอียดหน้าจอ : 454 x 454 px, 326PPI ขนาดตัวเรือน : 47 มม. (มีรุ่น 42 มม. ให้เลือก) วัสดุตัวเรือน : Aluminum Alloy กระจกหน้าจอ : กระจกนิรภัย Corning Gorilla 3 เคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ขนาดหน้าจอ: 1.39 นิ้ว เวอร์ชันบลูทูธ : Bluetooth 5.0 หน่วยความจำภายนอก : ไม่รองรับ โหมดการทำงาน : หน้าจอสัมผัส RAM : 16MB ROM : 40MB การกันน้ำ : ใช่ ระดับ IP : 5ATM (50 เมตร) |
ฟังก์ชัน | การแจ้งเตือน : การสั่นสะเทือน การค้นหาอุปกรณ์ : ใช่ การโทรด้วยบลูทูธ : การแจ้งเตือนการโทร, ปฏิเสธการรับโทรศัพท์ ระยะบลูทูธ : ไร้สิ่งกีดขวาง 10 ม. – 15 ม. ค้นหาโทรศัพท์: ใช่ เครื่องติดตามสุขภาพ : วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, นับก้าว, แจ้งเตือนให้เคลื่อนไหว, วัดการนอนหลับ ข้อความ : การตรวจสอบข้อความ ระบบการแจ้งเตือน : ใช่ ฟังก์ชันอื่น ๆ : นาฬิกาปลุก, บารอมิเตอร์, บลูทูธ , การปรับความสว่าง, ปฏิทิน, เข็มทิศ, การนับถอยหลัง, การแจ้งเตือนแบตเตอรี่ต่ำ, นาฬิกาจับเวลา, กันน้ำ, พยากรณ์อากาศ ประเภทการแจ้งเตือน : LINE, Facebook Messenger, Gmail, Instagram, ข้อความ, WeChat, Whatsapp ฯลฯ ใช้งานได้กับ : iPhone ติดตั้ง iOS 10 ขึ้นไป และ สมาร์ตโฟนต์ Android เวอร์ชัน 5.0 ขึ้นไป |
แบตเตอรี่ | ความจุแบตเตอรี่: 410mAh ชนิดของแบตเตอรี่ : LiPo (Lithium Polymer) เวลาในการชาร์จ: ประมาณ 2 ชั่วโมง เวลาสแตนด์บาย: โหมดชีวิตประจำวัน 24 วัน, การใช้งานนาฬิกาพื้นฐาน 74 วัน |
ปุ่มกดและสาย | วัสดุสาย: ซิลิโคน วัสดุตัวเรือน: เซรามิกโลหะ กรอบรอบหน้าปัด : เซรามิก รูปร่างหน้าปัด: กลม ขนาดหน้าปัด: 1.39 นิ้ว ความกว้างของสาย: 22 มม. |
ขนาดและน้ำหนัก | น้ำหนักของนาฬิกา (ไม่รวมสาย): 36 กรัม ขนาด (ยาว x กว้าง x หนา): 4.72 x 4.72 x 1.08 ซม. |
อุปกรณ์ในกล่อง | Amazfit GTR Lite สายชาร์จ คู่มือการใช้งาน (อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, โปรตุเกส (บราซิล), รัสเซีย, สเปน, จีนดั้งเดิม, ตุรกี, อาหรับ) |
การเชื่อมต่อและการใช้งาน
1. การเชื่อมต่อ
นาฬิกา Amazfit GTR Lite รองรับการทำงานร่วมกับ iPhone และ Android รีวิวนี้ผมทดสอบกับ iPhone 11 Pro Max ที่ติดตั้ง iOS 14 beta พบว่าการเชื่อมต่อ Amazfit GTR Lite เข้ากับ iPhone นั้นทำได้ง่ายมาก
- เริ่มโดยดาวน์โหลดแอป Zepp (ชื่อเดิม Amazfit)
- จากนั้นสร้างบัญชีผู้ใช้และทำการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปในแอป
- หลังจากนั้น Amazfit GTR Lite (เครื่องที่ผมรีวิว) จะทำการเช็คซอฟต์แวร์อัปเดตและทำการอัปเดตให้เป็นรุ่นล่าสุด สักพักเครื่องก็พร้อมใช้งาน
2. แอปพลิเคชัน Zepp
ชื่อเดิมของแอปนี้คือ Amazfit แอปนี้เป็นศูนย์กลางในการจัดการ Amazfit GTR Lite (รวมทั้งรุ่น GTR ปกติ) เหมือนกับ Watch ของ Apple Watch
- สามารถตั้งค่าต่าง ๆ ให้กับ Amazfit GTR Lite ได้ เช่น การเปลี่ยนหน้าปัด, ตั้งค่าการแจ้งเตือนอย่างเช่นแสดงข้อมูลการโทรเข้า, เปิดแจ้งเตือนของแอป LINE, Facebook หรือแอปอื่น ๆ
- การค้นหานาฬิกา, แจ้งเตือนการนั่งนาน, ตั้งค่าข้อมูลอัตรการเต้นของหัวใจ ฯลฯ
- ดูข้อมูลด้านาสุขภาพต่าง ๆ เช่น การนับก้าวเดิน, นับแคลอรี่, ดูข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจที่เก็บได้ตลอด 24 ชั่วโมง, ดูค่า PAI, ข้อมูลการนอนหลับ และอื่นๆ อีกมากมาย
โดยรวมแล้วแอปนี้ผมว่าออกแบบค่อนข้างดีเลย UI สวยงาม ใช้งานง่าย ๆ ที่สำคัญคือแอปนี้รองรับภาษาไทยด้วย ดังนั้น ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลย แต่พบว่าภาษาไทยบางจุดอาจจะมีแปลผิดบ้างเล็กน้อย หวังว่าทีมงานจะแก้ไขในอนาคต
3. ระบบสัมผัสและการควบคุม
การควบคุมหน้าจอโดยการสัมผัสของ Amazfit GTR Lite จำมีอยู่ 5 รูปแบบคือ แตะ, ปัดลง, ปัดขึ้น, ปัดซ้าย และปัดขวา
- ปัดลงที่หน้าจอหลัก จะแสดงหน้าต่างของฟังก์ชันแสดงแบตเตอรี่, สถานะการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟน, ค่าอุณหภูมิ, ค่า UV, วันที่, ไฟฉาย, ปรับแสงหน้าจอ, เปิดโหมดห้ามรบกวน, เปิดโหมดประหยัดพลังงานและการล็อคจอ, ถ้าปัดที่ในตัวแอปจะเป็นการเลื่อนขึ้น
- ปัดขึ้นที่หน้าจอหลัก แสดงรายการของแอปต่าง ๆ พร้อมเมนูการตั้งค่าของระบบ, ถ้าปัดที่ในตัวแอปจะเป็นการเลื่อนลง
- ปัดขวาที่หน้าจอหลัก สลับไปยังแอปที่ตั้งค่าไว้, ถ้าปัดที่ในตัวแอปจะเป็นการกลับไปเมนูก่อนหน้า (Back)
- ปัดซ้ายที่หน้าจอหลัก สลับไปยังแอปที่ตั้งค่าไว้
ส่วนปุ่มด้านบนเป็นปุ่มปิด/เปิดหน้าจอ และถ้ากดค้าง 2 วินาทีจะเลือกโหมดการปิดเครื่องหรือจะเลือกรีสตาร์ทเครื่องก็ได้ ส่วนถ้ากดค้างเกิน 10 วินาทีจะเป็นการบังคับปิดเครื่อง
4. การชาร์จ
ทำได้ง่าย ๆ โดยการวาง Amazfit GTR Lite ไว้บน Magnetic Charging Dock ซึ่งการออกแบบถือว่าทำได้ดีทีเดียว โดยแท่นชาร์จมาพร้อมแม่เหล็กซึ่งจะดูดตัวนาฬิกาให้วางตรงตำแหน่งได้โดยง่ายและไม่หมุน จุดนี้ผมว่าดีกว่าแท่นชาร์จของ Apple Wactch เยอะเลย สำหรับการชาร์จไฟจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ แบตเตอรี่ก็จะเต็มและใช้งานกันยาว ๆ เลย
5. โหมดการออกกำลังกาย
อย่างที่แจ้งไปตอนต้นว่า Amazfit GTR Lite ตัดโหมดการออกกำลังกายที่มี 12 โหมดในรุ่น GTR ให้ลดลงเหลือ 8 โหมดตามภาพด้านล่างซึ่งกิจกรรมที่ตัดออกจะสังเกตว่ากิจกรรมเหล่านั้นต้องพึ่งการทำงานของ GPS โดยในรุ่น GTR Lite ไม่มี ก็เลยถูกตัดออกไป ดังนั้นใครที่ใช้ออกกำลังกายต้องพิจารณาเรื่องนี้
ความรู้สึกหลังการใช้งานและความประทับใจ
สรุปภาพรวมของ Amazfit GTR Lite ให้เข้าประเด็นเลยแล้วกันนะครับ จากที่มีเวลาได้ทดสอบใช้งานประมาณ 2 วันซึ่งถือว่าเป็นการใช้งานแบบพื้นฐานโดยที่ผมยังไม่ได้นำนาฬิกาเรือนนี้ไปออกกำลังกาย ดังนั้นจะพูดในประเด็นหลัก ๆ แล้วกันนะครับ
1. หน้าจอ
สิ่งแรกที่ชอบตั้งแต่แรกเลย คือ “หน้าจอ” เพราะเราไม่ได้คาดหวังเลยว่านาฬิกาเรือนละ 2 พันกว่าบาทจะให้หน้าจอมาดีขนาดนี้ Amazfit GTR Lite ใช้หน้าจอ AMOLED ความหนาแน่นอยู่ที่ 326 PPI ภาพและกราฟิกของนาฬิกาที่แสดงผลออกมานั้นชัดเจนมาก สีสวยมากและที่สำคัญคือ ตัวหนังสือคมชัดมาก แม้ว่าตัวอักษรบางตัวมีน้ำหนักเส้นที่บางเราก็ยังอ่านข้อความนั้นออกได้ ผมว่ามันเพิ่ม User Experience ทำให้นาฬิกาดูแพงขึ้นมาทันที แถมรองรับการแสดงผลภาษาไทยได้อย่างดี ทั้งการแจ้งเดือนผ่านแอป LINE ก็อ่านได้ชัดเจน มีไอคอนต่าง ๆ พร้อมข้อความ ส่วนแอปอื่น ๆ ก็ทำได้ดีเช่นกัน ผมโอเคมาก ๆ กับหน้าจอและยิ่งเราเปลี่ยนหน้าปัดรูปแบบต่าง ๆ มันทำให้เห็นรายละเอียดของหน้าปัดเหล่านั้นได้ชัดเจนครับ
2. จอวงกลมดีไซน์คลาสิก
ดีไซน์จอวงกลมพร้อมปุ่มกดที่ดูคลาสิก ผมเองเป็นคนที่ชอบนาฬิกาทรงคลาสิกผมว่ามันขลังดี หลายครั้งก็คิดว่าเมื่อไหร่ Apple Watch จะทำรูปทรงนี้ออกมาบ้างแต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้เห็นทรงนั้นสักที และหลังจากที่ได้ลอง Amazfit GTR Lite และได้เปลี่ยนหน้าปัดที่ทรงนาฬิกาธรรมดาแบบสไตล์ Minimal ผลที่ปรากฎออกมาคือ “สวยหวะ” โดนใจอยู่นะ มันเหมือนสิ่งที่เราอยากได้มานานแล้ว จะว่าไปหน้าจอทรงกลมก็มีหลายยี่ห้อที่ทำออกมาแล้วแต่เป็นตัวเราเองแหละที่ไม่ได้หามาใช้งาน แต่พอเจอรุ่นนี้เข้าไปก็บอกเลยว่า “นี่แหละที่ต้องการ” แถม Amazfit GTR Lite ตัวนี้ยังสามารถใช้สายนาฬิกาเรือนเก่าของผมอย่าง Fossil ได้ด้วย เอามาเปลี่ยนสายใหม่ก็ดูหล่อขึ้นมาทันทีเดียว
3. ระบบแจ้งเตือนการใช้งาน
ระบบแจ้งเตือนที่ครบเพียงพอสำหรับการใช้งานพื้นฐานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นแจ้งเตือนเมื่อมีสายโทรเข้าซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่ต้องการ ซึ่ง Amazfit GTR Lite ก็มีให้จริง ๆ แต่ว่า กดรับสายไม่ได้ กดตัดสายและปิดแจ้งเตือนได้อย่างเดียว 😅, ส่วนการแจ้งเตือนของแอปต่าง ๆ อย่าง LINE, Messenger และ Notification ของแอปอื่น ๆ แสดงผลได้ดีเลย มีข้อความอะไรแสดงก็บอกหมดถือว่าช่วยได้เลย, คุมการเล่นเพลงได้ถ้าเราเปิดเพลงบน iPhone ที่นาฬิกาจะแสดงชื่อเพลงที่กำลังเล่น จะสั่งให้หยุด เล่นเพลงถัดไปหรือว่าจะเพิ่มลดเสียงก็ทำได้ ใครมี AirPods หรือหูฟังไร้สายอื่น ๆ อย่าง Xiaomi 1More – Omthing AirFree ก็สบายเลยไม่ต้องปรับเสียงด้วยสมาร์ตโฟนก็ได้
4. แบตเตอรี่
Amazfit GTR Lite เคลมมาว่าชาร์จเต็ม 100% สามารถใช้งานได้นานถึง 24 วันเมื่อใช้งานแบบทั่วไปและนานสูงสุดถึง 74 วันหากใช้งานเฉพาะการดูเวลา ซึ่งถือว่าใช้งานได้นานมาก ๆ (ปล. เทียบกับ Apple Watch Series 5 ใช้งานได้นานสุด 2 วัน) แม้ว่าผมยังไม่ได้ทดสอบจนถึงระดับนั้นแต่หากข้อมูลบอกมาแบบนี้เราก็คิดว่า “เออ น่าสนใจ” เดี๋ยวเรารู้กันว่าจะได้นานแค่ไหน ไว้มีโอกาสจะมาอัปเดตให้ฟังนะครับ
5. ราคาที่น่าคบหา
เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ทั้งเรื่องของหน้าจอ, วัสดุตัวเรือน, ระบบภายในแม้ว่าจะไม่ใช่ Ware OS ของทางฝั่ง Android ซึ่งทำให้เราลงแอปไม่ได้ แต่แอปที่ให้มาพร้อมตัวนาฬิกานั้นก็เพียงพอสำหรับคนที่ใช้งานระดับเริ่มต้นทั่วไป Amazfit GTR Lite อาจจะไม่ได้สมาร์ตหรือฉลาดเท่ากับ Apple Watch แต่สำหรับบางคนแล้วสิ่งที่มาในนาฬิกาเรือนนี้ก็เพียงพอแต่การใช้งานในหนึ่งวันซึ่งอาจจะไม่ได้รู้สึกขาดอะไรไปด้วยซ้ำ (ย้ำว่าผู้ใช้งานเบื้องต้น) และด้วยค่าตัวที่ 2 พันปลาย ๆ แลกกับสิ่งที่ Amazfit GTR Lite ให้มานั้นผมว่ามันคุ้มค่ามากแล้ว
ยังมีอีกหลายอย่างที่ประทับใจจากนาฬิกาเรือนนี้ เอาไว้เป็นขอแชร์ให้ฟังเพียงเท่านี้แล้วกันนะครับ ส่วนถ้าถามผมว่าหลังจบรีวิวนี้ผมจะสวม Amazfit GTR Lite เรือนนี้ต่อไปหรือไม่หรือว่าแค่รีวิวแล้วจบกัน “ผมขอตอบเลยว่า จะใช้งานต่อแน่นอนครับ ไม่แน่อาจจะอัปเกรดไปรุ่น Amazfit GTR ตัวท็อปด้วยซ้ำ”
ข้อดีและข้อด้อยของ Amazfit GTR Lite
ข้อดี
- หน้าจอสวยความละเอียดสูงมากมาพร้อมหน้าจอแบบติดตลอดเวลา (Always-On Display) และยังรองรับการพลิกข้อมือเพื่อเปิดหน้าจอด้วย
- หน้าจอ AMOLED มีความสว่างใช้งานกลางแจ้งได้ดี จอรองรับการปรับแสงหน้าจออัตโนมัติ
- รองรับการแสดงผลภาษาไทยทั้งการแจ้งเตือนต่าง ๆ และที่ตัวแอป Zepp ที่ใช้ควบคุม
- แอปพลิเคชัน (Zepp) ใช้งานง่าย UI สวยงาม สามารถดูรายละเอียดต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
- แบตเตอรี่อึด จากสเปกแจ้งไว้ว่าใช้งานได้ทั่วไปได้ถึง 24 วันแต่หากใช้เฉพาะฟังก์ชันดูเวลาแบบพื้นฐานสามารถใช้ได้นานสูงสุดถึง 74 วัน
- บอกระดับแบตเตอรี่ที่เหลือและบอกว่าระยะเวลาที่สามารถใช้งานได้ว่าเหลืออีกเท่าไหร่
- ดีไซน์สวยออกแบบเหมือนนาฬิกาทั่วไปดูมีความคลาสิก
- ใช้งานได้ทั้ง iPhone และ Android
- มีโหมดการออกกำลังกาย 8 โหมด เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
- มีหน้าปัดให้เลือกมากกว่า 100 แบบ
- กันน้ำได้ดีระดับ 5ATM หรือ 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้สบายหายห่วง
- วัสดุคุณภาพดีน้ำหนักเบา
- เซนเซอร์การวัดอัตราการเต้นของหัวใจพร้อมแจ้งเตือนการเต้นของหัวใจช้าหรือเร็วกว่าปกติ ทั้งนี้ประสิทธิภาพทำได้ใกล้เคียงกับ Apple Watch แต่จะช้ากว่าเล็กน้อย
- มีสายนาฬิกาให้เลือกมากมาย เปลี่ยนสายได้หลากหลายใช้กับนาฬิกาทั่วไปได้เลย
- แชร์ข้อมูลสุขภาพไปยังแอปสุขภาพของ iPhone ได้
- ราคาเข้าถึงได้ง่ายพร้อมฟีเจอร์พื้นฐานต่าง ๆ ที่เพียงพอสำหรับบุคคลทั่วไป
- อัปเดตเฟิร์มแวร์ใหม่ ๆ ได้
- แท่นชาร์จแบบแม่เหล็กทำให้เชื่อมติดกับนาฬิกาตอนชาร์จทำได้สะดวกดีมาก
- ตรวจจับการนอนได้
- สั่งเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลงและเพิ่มลดเสียงของสมาร์ตโฟนได้
- ปุ่มกดด้านล่างสามารถตั้งค่าปุ่มทางลัดได้
- UI (User Interface) ของนาฬิกาออกแบบเรียบง่าย ดูง่าย ใช้งานได้ง่าย
ข้อด้อย
- ไม่มี GPS
- ไม่เหมาะกับการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ต้องอาศัย GPS เช่น การปีนเขา เป็นต้น
- ไม่มี OS ลงแอปเพิ่มเติมไม่ได้ ต้องใช้แอปเท่าที่มีได้เท่านั้น
- ใช้งานอุปกรณ์ไม่ได้ระหว่างทำการชาร์จ
- การเปลี่ยนหน้าปัดและการดาวน์โหลดหน้าปัดใหม่ค่อนข้างช้า
- หน้าปัดที่เคยดาวน์โหลดมาแล้วหากเปลี่ยนไปใช้หน้าปัดใหม่และจะสลับมาหน้าปัดเดิมต้องทำการดาวน์โหลดใหม่ซึ่งต้องรอค่อนข้างนาน
- การปัดสลับหน้าจอต่าง ๆ ไม่ค่อยลื่นไหลแต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
- ไม่มีเมนูภาษาไทยที่ตัวนาฬิกา
- พบว่าบางการเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ตโฟนกับนาฬิกาหลุดทำให้ซิงก์กันไม่ได้ กดซิงก์ใหม่ก็ยังไม่ได้ จำเป็นต้องรีบูตนาฬิกาใหม่
- ไม่บอกระดับแบตเตอรี่ระหว่างการชาร์จ
- ไม่มีลำโพงที่ตัวเครื่อง รับสายโทรศัพท์ไม่ได้และไม่มีไมค์โครโฟน
อุปกรณ์นี้เหมาะกับใครและไม่เหมาะกับใคร
- รุ่นที่รีวิวนี้ขนาดหน้าปัด 47 มม. จึงเหมาะกับคุณผู้ชายที่ข้อมือขนาดกลางถึงใหญ่
- เหมาะกับผู้ที่เบื่อสมาร์ตวอชทรงสี่เหลี่ยมและต้องการนาฬิกาสมาร์ตวอชที่ดีไซน์เหมือนนาฬิกาคลาสิกแต่ยังมาพร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ และสามารถทำงานร่วมกับสมาร์ตโฟนได้
- เหมาะกับผู้ที่มีงบจำกัดที่ต้องการนาฬิกาสมาร์ตวอชดี ๆ สักเรือนมาใช้คู่กับสมาร์ตโฟน
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ออกกำลังกายแบบหนักหน่วง เช่น ปีนเขา วิ่งเทรล ดำน้ำลึก กีฬาทางน้ำที่มีความเร็ว หรือกิจกรรมที่ต้องพึ่งพา GPS
- ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการลงแอปเพิ่มให้กับนาฬิกา
เปรียบเทียบกับ Apple Watch
หากจะนำ Amazfit GTR Lite ไปเทียบกับ Apple Watch ก็คงจะไม่น้ำสมเนื้อกันสักเท่าไหร่ เพราะว่า Apple Watch นั้นเป็นสมาร์ตวอชที่ค่อนข้างเต็มตัวมากกว่า เพราะมี watchOS ที่เป็นหัวใจหลัก มีแอปต่าง ๆ ที่ดาวน์โหลดได้จาก AppStore พร้อมกับฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ครบครันมากกว่า และแน่นอนว่าราคาก็ต่างกันลิบลับเลยทีเดียว ผมจึงจัดตำแหน่งของ Apple Watch ว่าเป็น Lifestyle Smart Watch ที่แท้จริง ส่วนฝั่ง Amazfit GTR Lite ตัวนี้ คือ Wareable อันแสนคุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ระดับเริ่มต้นที่เริ่มมีใจให้ Smartwatch นั่นเอง
ราคาและการจัดจำหน่าย
Amafit GTR Lite จัดจำหน่ายในราคา 2,799 บาท ผ่านช่องทางต่าง ๆ ด้านล่างนี้
- Shopee
- Lazada
- JD Central
หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้ผู้ที่กำลังหาข้อมูลนาฬิการุ่น Amazfit GTR Lite ได้ทราบในจุดต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อไปใช้งานนะครับ
ขอบคุณสำหรับการอ่านรีวิวจนจบ
ผมต้อม iMoD
สวัสดีครับ