Apple เดิมทีใช้ระบบไฟล์ Hierachical File System (HFS) มาตั้งแต่ยาวนานก่อนจะมาปรับปรุงเป็น HFS+ และล่าสุดเป็น Apple File System (APFS) ซึ่งจะอยู่ในอุปกรณ์ทุกอย่างตั้งแต่ Apple Watch, iPhone ไปจนถึง Mac Pro โดยจุดมุ่งหมายหลัก ๆ ก็คือการเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการออกแบบมาสำหรับหน่วยความจำแบบแฟลช
Apple File System (APFS)
เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากรตัวอักษรต่อไปนี้ผมขอเรียกแค่ว่า “APFS” โดยระบบไฟล์แบบใหม่นี้จะมาพร้อมกับ iOS 10.3 เป็นต้นไป ซึ่งจะมาแทนที่ระบบไฟล์แบบเก่า HFS+ ที่เปิดตัวตั้งแต่ยุค ’90 (1998) และก็ไม่ต้องห่วงเพราะมันแทบไม่กระทบอะไรกับผู้ใช้งานทั่วไปเลย
คุณสมบัติใหม่
- Clones
- Snapshots
- Encryption
- Data integrity
- Crash protection
APFS ไม่เพียงแค่มีความเร็วขึ้นจากการที่ low-latency ดังนั้นจึงจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ เช่นการเปิดตัวแอปและการส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่า แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อ SSD และรองรับคำสั่ง TRIM ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ลบไฟล์จำนวนมาก และต้องการเก็บพื้นที่ว่างไว้เป็นจำนวนมาก
Snapshot ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ฉีกกฎการ Backup แบบเก่าสร้างสำเนาแบบอ่านอย่างเดียว และไม่ทำซ้ำกับข้อมูลใด ๆ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสามารถกลับไปกลับมาได้
macOS หรือระบบปฏิบัติการใดก็ตามจำเป็นต้องมีการ “แบ่งพาร์ดิชั่น” ซึ่งภาษาชาวบ้านก็คือการกั้นห้องนั่งเอง (C:\ หรือ D:\) และในระบบไฟล์ APFS ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าไดร์ฟไหนเหลือพื้นที่เท่าไหร่ เนื่องจากมันสามารถแชร์กันได้อย่างไม่ตายตัว
APFS (อีกแล้ว) มีการบันทึกแบบ atomic-level เพื่อใช้ตรวจสอบการเขียน copy-on-write เพื่อสร้างเวอร์ชันใหม่และมีการเปิดตัวเวอร์ชันเก่าเมื่อทำการบันทึกไฟล์เสร็จสมบูรณ์ รวมถึงยังมีการ checksums ใน metadata ที่ถึงแม้จะไม่ใช่ข้อมูลของผู้ใช้ก็ตาม
APFS จะถูกนำไปใช้กับทุกสิ่งหรือไม่
สำหรับระบบไฟล์ใหม่นี้ยังเป็นรุ่นแรก (และจะมีอัปเดตตามมาภายหลัง) นั่นหมายความว่ามันไม่ใช่ทุกสิ่งของ Apple ทำนองเดียวกับระบบ checksums ของข้อมูล Error Correction Code (ECC) ซึ่งยังเห็นสามารถจัดเก็บข้อมูลแบบแฟลชได้ทันสมัยอยู่
ในระบบ iOS ถึงแม้ว่าจะปล่อยแล้วแต่ macOS ยังอยู่ในรุ่นทดสอบและไม่สามารถใช้กับ
- Startup disks
- Time Machine
- FileVault
- Fusion Drive
และน่าเสียดายที่ APFS ในตอนนี้ไม่ได้เปิดเป็น Open Source เหมือนกับ Mach Kernel, WebKit, LLVM, และ Swift (แต่ในอนาคตก็ไม่แน่) ซึ่งไม่ว่าคุณจะชอบมันหรือไม่หากอัปเดต iOS 10.3 คุณก็จะได้ใช้มันอยู่ดี และถึงแม้ว่าไม่มีอะไรการันตีว่ามันปลอดภัย 100% แต่เชื่อเถอะว่ามันปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ที่มา – imore