Jeff Williams COO ของ Apple เผยว่า Qualcomm ปฏิเสธไม่ขายชิปโมเด็มให้ใช้สำหรับ iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone XS, XR ส่งผลให้ก้าวไปสู่เทคโนโลยี 5G ได้ช้า
Qualcomm ปฏิเสธไม่ขายชิปโมเด็มให้ใช้สำหรับ iPhone XS, XR
CNET รายงานข้อมูลจากการสัมภาษณ์ Williams เกี่ยวกับประเด็นนโยบาย ไม่มีลิขสิทธิ์, ไม่มีชิป (no license, no chips) ของ Qualcomm ที่ไม่ขายชิปให้ Apple เนื่องจากหาข้อตกลงกันไม่ได้ จนเกิดการฟ้องร้องกันในที่สุด
Williams เผยว่าจริงๆ แล้ว Apple ได้เสนอให้ Qualcomm ส่งมอบชิปโมเด็มเพื่อใช้ใน iPhone XS, XR รุ่นใหม่ โดย Apple จะเลือกใช้ชิปทั้งจาก Intel และ Qualcomm แต่ในปี 2018 นั้นทาง Qualcomm ปฏิเสธที่จะขายชิปโมเด็มให้ Apple (Apple จึงจำเป็นที่ต้องสั่งชิปโมเด็มจาก Intel เป็นหลัก)
การที่ Qualcomm ปฏิเสธการขายชิปโมเด็มให้ Apple นั้นก็เป็นช่วงเดียวกันที่บริษัทกำลังพัฒนาไปสู่เทคโนโลยี 5G โดยผู้ผลิตสมาร์ตโฟนฝั่ง Android นั้นได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนที่รองรับเทคโนโลยี 5G ในปี 2019 นี้ แต่ทาง Apple เองก็ต้องรอเทคโนโลยี 5G จาก Intel ซึ่งมีข่าวว่าจะไม่พร้อมจนถึงปี 2020
ข้อตกลงระหว่าง Qualcomm กับ Apple
ในช่วงกลาง – ปลายปี 2018 ทาง Qualcomm เองก็เคยเผยไว้ว่า “กำลังร่วมกับ Apple ในการเข้าสู่เทคโนโลยี 5G” แต่คาดว่าดีลนี้จบลงไปเนื่องจากตกลงเรื่องสัญญาต่างๆ ไม่ได้
รายงานเผยว่า Qualcomm ต้องการรายได้จากสัญญาการผลิต 5% จากมูลค่าการขาย iPhone แต่ละเครื่อง (ประมาณ 12-20 ดอลลาร์) แต่ Apple เสนอลดลงเหลือ 7.5 ดอลลาร์ต่อเครื่องซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ถึง 5 เท่า โดย Apple ต้องการจะจ่ายเป็น 5% ของมูลค่าโมเด็มที่ขาย (ประมาณ 1.5 ดอลลาร์ต่อเครื่อง) ไม่ใช่ 5% จากมูลค่าของ iPhone ที่ขาย
ในปี 2013 ก็มีการเจรจาสัญญาใหม่อีก โดย Qualcomm ต้องการเพิ่มค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเป็น 8-10 ดอลลาร์ต่ออุปกรณ์ของ Apple ที่ขาย โดย Apple เองก็จัดการทำให้คงค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเอยู่ที่ 7.5 ดอลลาร์เช่นเดิม แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องยอมรับเงื่อนไขพิเศษเพื่อที่จะจำกัดผู้ผลิตรายอื่นเพิ่มเติม
(Williams เผยว่า Apple จ่ายค่าสิทธิบัตรเพิ่มประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เหมือนกับโดนเอาปืนมาจี้ที่หัวเพราะถ้าไม่ยอมรับก็จะต้องจ่ายเพิ่มในอัตรา 18 ดอลลาร์, 17 ดอลลาร์)
โดย Apple ก็อยากมีผู้ผลิตชิปเป็นของตัวเอง, ถ้า Apple ไม่ดำเนินการตามกฏหมายที่วางไว้ก็ยากที่จะได้ชิปมาใช้ ซึ่ง Apple เองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก
ที่มา – iclarified