Zakura Kim
สำหรับใครที่อยากได้และกำลังตัดสินใจจะซื้อ Apple Watch ซึ่งก็มีหลายรุ่นให้เลือก ทีมงานจึงมีคำแนะนำในการเลือกซื้อ Apple Watch รุ่นที่เหมาะกับตนเอง โดยพิจารณาจากคุณสมบัติและราคาที่เหมาะสมกับงบประมาณมาฝากกันค่ะ
อยากได้ Apple Watch เลือกรุ่นไหนดี สำหรับปี 2020
Apple Watch รุ่นที่เปิดขายบน Apple Store และร้านตัวแทนจำหน่ายในปัจจุบัน (อัปเดตวันที่ 5 ม.ค. 2563) จะเป็น Apple Watch Series 3 (2017) และ Apple Watch Series 5 (2019)
แต่บางร้านก็ยังคงมี Apple Watch Series 4 (2018) วางขายอยู่ โดยปรับลดจากราคาเปิดตัวเล็กน้อย ทีมงานจึงขอเลือกแนะนำระหว่าง Apple Watch ทั้ง 3 รุ่นนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
1. Apple Watch Series 3 (2017)
Apple Watch Series 3 เป็น Apple Watch ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก มาพร้อมหน้าจอ 2 ขนาด คือ 38 มม. และ 42 มม. ใช้ชิปประมวลผล S3 แบบ Dual-core และใช้ชิประบบไร้สาย W2
คุณสมบัติเด่นของรุ่นนี้คือ สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แจ้งเตือนหัวใจเต้นช้าหรือเต้นเร็วผิดปกติได้ ติดตามการออกกำลังกาย คำนวณแคลอรี่ นับก้าว เช็คสภาพอากาศ แจ้งเตือนแอปทั่วไป และรุ่นนี้ยังรองรับคุณสมบัติ Walkie Talkie ด้วย
หลังจากที่มีการเปิดตัว Apple Watch Series 5 ในปี 2019 ที่ผ่านมา Apple Watch Series 3 ก็ได้ถูกปรับลดราคาทันที โดยรุ่น GPS ขนาด 38 มม. ราคาเพียง 6,400 บาท และขนาด 42 มม. ราคา 7,400 บาท ส่วนรุ่น GPS+Cellular ขนาด 38 มม. ราคา 9,900 บาทและขนาด 42 มม. ราคา 10,900 บาท
ด้วยราคาที่ถูกกว่ารุ่นอื่น ๆ Apple Watch Series 3 จึงเหมาะกับคนที่อยากมีสมาร์ตวอชท์มาไว้สำหรับติดตามการออกกำลังกายทั่วไป เช่น การเดิน การวิ่ง ว่ายน้ำ เวทเทรนนิ่ง เดินเขา โยคะ เล่นกีฬาอื่น ๆ และใช้งานร่วมกับแอปต่าง ๆ และเหมาะกับคนที่อยากประหยัดเงินเน้นใช้ออกกำลังกายเป็นหลัก มีงบไม่ถึงหมื่นก็สามารถเข้าถึงได้ สามารถใช้งานต่อได้อีกหลายปี
หาซื้อได้ที่หน้าร้าน Apple Store Iconsiam หรือ Apple Store Online และร้านตัวแทนจำหน่าย
2. Apple Watch Series 4 (2018)
สำหรับ Apple Watch Series 4 เปิดตัวในปี 2018 และ Apple ก็เลิกขายในปี 2019 เมื่อ Apple Watch Series 5 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
Apple Watch Series 4 เป็นรุ่นที่มีการปรับขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นและขยายการแสดงผลแบบเต็มขอบเป็นรุ่นแรก มี 2 ขนาด คือ 40 มม. และ 44 มม. ตัวเรือนบางลงกว่ารุ่นก่อน 0.7 มม. ใช้ชิปประมวลผล S4 แบบ Dual-core 64 บิต และใช้ชิประบบไร้สาย W3 เซ็นเซอร์วัดหัวใจเป็นแบบออปติคอลรุ่นที่ 2
คุณสมบัติเด่นที่เพิ่มเติมจาก Series 3 ก็คือ การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก FDA ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย (ประเทศไทยรอการอนุมัติจาก FDA ไทย) และมีฟีเจอร์ตรวจจับการล้มที่สามารถโทรฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อจับได้ว่าผู้สวมใส่ลื่นล้มหรือได้รับแรงกระแทก
นอกจากนี้ Apple Watch Series 4 ยังรองรับฟีเจอร์เสียงรบกวน (Noise) ใน watchOS 6 ด้วย รวมถึงรองรับหน้าปัดใหม่ ๆ ที่มาพร้อมการเปิดตัว Apple Watch Series 5 อีกด้วย อย่าง หน้าปัดเมริเดียน โมดูลาร์คอมแพค
ในปัจจุบัน Apple Watch Series 4 อาจจะวางขายในร้านตัวแทนจำหน่ายบางร้าน อย่าง Studio 7, BaNANA, TrueMove H, AIS, Dtac ที่มีการปรับราคาลงจากราคาเปิดตัวเล็กน้อย เริ่มต้นที่ประมาณ 8,900 -17,900 บาทขึ้นอยู่กับรุ่นและโปรโมชันของแต่ละร้าน แนะนำว่าให้เช็คกับทางร้านอีกครั้ง
Apple Watch Series 4 เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณหมื่นถึงหมื่นต้น ๆ อยากจะใช้ฟีเจอร์ที่ดูแลด้านสุขภาพหัวใจอย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจและตรวจจับการล้ม หรืออยากจะซื้อให้กับผู้สูงอายุใส่ก็ได้ หรือคนที่เน้นใส่ออกกำลังกายและใช้งานทั่วไปแต่ชอบหน้าจอที่มีขนาดใหญ่แต่งบไม่ถึง Series 5 ก็เลือก Series 4 ใช้แทนได้เช่นกัน
3. Apple Watch Series 5 (2019)
มาถึง Apple Watch Series 5 รุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน 2019 ที่ผ่านมา รุ่นนี้การออกแบบภายนอกเหมือนกับ Series 4 ทั้งหมด ทั้งขนาดหน้าจอที่มาพร้อมขนาด 40 และ 44 มม. ความหนาตัวเรือนและพื้นที่การแสดงผลหน้าจอ ใช้เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคอลรุ่นที่ 2 แต่ใช้ชิปประมวลผล S5 แบบ Dual-core 64 บิต และใช้ชิประบบไร้สาย W3
Apple Watch Series 5 เป็นรุ่นที่มีฟีเจอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และตรวจจับการล้มเหมือนกับ Series 4 แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือฟีเจอร์ Always on Display ที่สามารถแสดงหน้าจอตลอดเวลาได้ หน้าจอไม่ดับ โดยที่แบตเตอรี่ยังคงใช้งานได้สูงสุด 18 ชั่วโมงเหมือนเดิม ฟีเจอร์นี้ทำเอาหลายคนตัดสินใจซื้อกันมากเลยทีเดียว
นอกจากนี้มีฟีเจอร์เข็มทิศ (Compass) สำหรับการบอกทิศทาง และมีฟีเจอร์การโทรฉุกเฉินทั่วโลกที่มีให้ใช้งานเฉพาะบน Series 5 เท่านั้น รองรับฟีเจอร์เสียงรบกวน (Noise) และมีหน้าปัดสวย ๆ ให้เลือกใช้งานหลากหลาย
Apple Watch Series 5 ยังมาพร้อมตัวเรือนวัสดุไทเทเนียม ซึ่งเป็นวัสดุใหม่ที่ Apple เพิ่มเข้ามาเป็นรุ่น Edition ร่วมกับตัวเรือนเซรามิค และเพิ่มความหรูหราด้วยรุ่น Hèrmes ที่มาพร้อมสายหนังสวย ๆ อีกด้วย แต่ราคาก็สูงกว่าตัวเรือนอะลูมิเนียมธรรมดา
ราคาปัจจุบันของ Apple Watch Series 5 ใน Apple Store รุ่น GPS ขนาด 40 มม. เริ่มต้นที่ 13,400 บาท ตัวเรือน 44 มม. 14,400 ราคา บาท ส่วนรุ่น GPS+Cellular ขนาด 40 มม. เริ่มต้นที่ 16,900 บาท และขนาด 44 มม. 17,900 บาท
หาซื้อได้ที่หน้าร้าน Apple Store Iconsiam, Apple Store Online และร้านตัวแทนจำหน่าย (ราคาของร้านตัวแทนจำหน่ายขึ้นอยู่กับโปรโมชัน)
แน่นอนว่า Apple Watch Series 5 เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด แต่ราคาก็สูงกว่าทุกรุ่น เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณเพียงพอและอยากได้ความสดใหม่ นำมาใช้ร่วมกับออกกำลังกาย ดูแลด้านสุขภาพและหัวใจ อยากใช้งานหน้าหน้าจอ Always on Display หากมีงบประมาณทีมงานก็เชียร์ให้ซื้อ Apple Watch Series 5 ไปเลย เนื่องจากยังใช้งานได้อีกยาว ๆ
แนะนำเพิ่มเติม
ท้ายสุดเสริมให้อีกนิดสำหรับคำถามที่พบบ่อย เรื่องการทนน้ำ Apple Watch ทั้ง 3 รุ่นสามารถทนน้ำได้ โดยป้องกันที่ระดับ 50 เมตร ตามมาตรฐาน ISO 22810:2010 สามารถใช้ในกิจกรรมน้ำตื้น เช่น ว่ายน้ำในสระหรือทะเล แต่ไม่ควรใช้ดำน้ำลึก เล่นสกีน้ำ หรือกิจกรรมที่มีความเร็วสูง
ส่วนเรื่องของสาย Apple Watch รุ่นขนาด 38 มม. สามารถใช้สายเดียวกันกับรุ่น 40 มม.ได้ และรุ่น 42 มม. ก็สามารถใช้งานกับสายของรุ่น 44 มม. ได้ ดังนั้นใครที่เคยมีเครื่องเก่าเป็น 38 มม.หรือ 42 มม. แล้วมีแผนจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเดิม ก็วางแผนดี ๆ นะคะ
ใครที่กำลังตัดสินใจอยากซื้อ Apple Watch แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะซื้อรุ่นไหนภายในปี 2020 ก็ลองนำข้อมูลคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันไปประกอบการพิจารณาดูนะคะ ขึ้นอยู่กับความต้องการของตนเองอีกที
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เปรียบเทียบสเปค Apple Watch Series 3, Apple Watch Series 4 และ Apple Watch Series 5
- Apple Watch Series 5 มีกี่รุ่น แต่ละรุ่นเหมาะกับใคร
- มาชมกัน Apple Watch Series 5 ตัวเรือนไหนน้ำหนักเบาที่สุด แต่ละวัสดุมีคุณสมบัติเด่นอย่างไร
