เปิดขายออนไลน์เมื่อ 27 มีนาคม 2561 ในประเทศไทย และวันนี้ (5 เมษายน 2561) เป็นวันแรกกับ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ที่สามารถใช้งานร่วมกับ eSIM ของเครือข่ายมือถือได้แล้ว ทีมงาน iMod เกาะติดสถานการณ์และได้เครื่องมาแล้วจึงอยากทำรีวิวนี้เอาไว้ให้ชมกันครับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับใครหลายๆ คนว่า “จะซื้อรุ่น GPS ธรรมดาหรือว่ารุ่นที่มี Cellular ดี?” เราไปชมรีวิวนี้พร้อมๆ กันครับ
รีวิว Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular อิสระบนข้อมือที่แท้จริง
ก่อนหน้านี้เมื่อ 27 ตุลาคม 2017 ทีมงานได้เขียน รีวิว Apple Watch Series 3 GPS เหนือขึ้นในทุกขั้น เอาไว้ให้ได้ชมกันแล้วหากใครยังไม่ได้อ่านก็แวะไปชมกันก่อนได้ ถ้ากล่าวโดยสรุป รุ่นที่กำลังจะรีวิวนี้คุณสมบัติส่วนใหญ่จะคล้ายกับรุ่น GPS เพียงแค่ความสามารถบางจุดที่เพิ่มเติมเข้ามาครับ โดยผมจะโฟกัสไปที่จุดที่แตกต่างและเป็นจุดเด่นที่รุ่นนี้สามารถทำได้เพิ่มเติมในรีวิวนะครับ
ภาพรวมสิ่งที่ได้จะรู้จากรีวิวนี้
- แกะกล่อง Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ตัวเรือนอะลูมิเนียม
- สเปก Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular
- จุดเด่นของ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ที่แตกต่างจากรุ่น GPS ธรรมดา
- ค่ายมือถือใดบ้างที่มี eSIM แล้ว
- จะใช้ Apple Watch กับเครือข่ายนั้นๆ จำเป็นไหมที่ต้องซื้อตัวเครื่องจากที่นั่น?
- ตั้งค่าใช้งาน eSIM ยากไหม ทำเองได้หรือเปล่า?
- ความเห็นหลังการใช้งาน Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular และตอบคำถามทั่วไป
- ออกกำลังกายโดยการวิ่งไม่พก iPhone
- แบตเตอรี่อึดไหม
- โทรออก-รับสาย LINE ได้ไหม
- ตอบแชท LINE Facebook ได้ไหม ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ iPhone
- เข้าเว็บได้ไหม
- ไม่ต้องพึ่ง iPhone จริงๆ เหรอ
- ใช้งานร่วมกับหูฟัง Bluetooth
- รองรับ Spotify, JOOX Music ไหม
- รุ่น ราคา และสถานที่จัดหน่าย
- สรุป
ทราบหัวข้อที่จะรีวิวทั้งหมดแล้วก็ไปอ่านพร้อมๆ กันได้เลยครับ
1. แกะกล่อง Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ตัวเรือนอะลูมิเนียม
ผมได้ Apple Watch Series 3 GPS + Cellular รุ่นตัวเรือนอะลูมิเนียม สีเทาสเปซเกรย์ พร้อมสายแบบ Sport Band สีเทา หนาดหน้าจอ 42mm มาใช้งาน ราคาของรุ่นนี้อยู่ที่ 15,900 บาท โดยนำมาใช้คู่กับเครือข่าย TrueMove H ที่ถือว่าเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการ eSIM ใช้งานร่วมกับ Apple Watch รุ่นนี้
ภายในกล่องของ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular รุ่นนี้ประกอบไปด้วย
- Apple Watch Series 3 GPS+Cellular ตัวเรือนอะลูมิเนียมสีเทาสเปซเกรย์
- สายแบบ Sport Band สีเทา (สามารถเปลี่ยนความยาวให้เป็นขนาด S/M หรือ M/L ได้)
- สายชาร์จแบบแม่เหล็กความยาว 1 ม.
- USB Power Adapter ขนาด 5 วัตต์
- เอกสารแนะนำการใช้งาน
2. สเปก Apple Watch Series 3 GPS + Cellular
ก่อนเข้าสู่การรีวิว เรานำสเปกของ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular มาให้ชมกันก่อน บางท่านอาจจะเรียกกว่า Apple Watch Series 3 LTE ก็ได้เหมือนกัน บางทีผมก็เรียกแบบนั้นแต่ว่าชื่อเต็มจริงๆ จะเรียก GPS + Cellular นะครับ
สเปกของรุ่นนี้
- รองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ในตัวเครื่องมีระบบ eSIM ในตัว ที่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายสัญญญาณมือถือได้กับเครือข่ายที่รองรับทั่วโลก
- วัสดุตัวเรือนผลิตจากอะลูมิเนียม, สแตนเลสสตีลและเซรามิก(ราคาจะแตกต่างกันออกไป)
- มี GPS และ GLONASS ในตัว
- โปรเซสเซอร์แบบ Dual-core ที่เร็วขึ้น
- ชิพไร้สาย W2 ช่วยให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ผ่าน Bluetooth อย่างหูฟัง AirPods, ลำโพงไร้สายได้โดยตรง
- มาตรวัดความสูงแบบวัดความดันบรรยากาศ
- ความจุ 16GB
- เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Monitoring)
- อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและไจโรสโคป
- ทนน้ำที่ระดับ 50 เมตร
- กระจก Ion-X อันแข็งแกร่ง
- ฝาหลังวัสดุเซรามิก
- Wi-Fi (802.11b/g/n 2.4GHz)
- Bluetooth 4.2
- แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง
- watchOS 4
- ใช้งานร่วมกับแท่นชาร์จ AirPower ได้ (ตอนนี้ที่เขียนรีวิวนี้อุปกรณ์นี้ยังไม่เปิดจำหน่าย)
3. จุดเด่นของ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ที่แตกต่างจากรุ่น GPS ธรรมดา
ภายนอก
หากมองจากภายนอกสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็นรุ่นที่รองรับ Cellular ก็คือ ปุ่ม Digital Crown นั้นจะเป็นสีแดงและหน้าปัดนาฬิกา (Watch Face) แบบพิเศษ คือเป็นรูปเข็มบอกเวลาสีแดงและมุมบนซ้ายจะเป็นไอคอนโทรศัพท์เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าแอป Phone ที่จะให้เรากดเลือกโทรออกได้และที่มุมบนขวาจะมีไอคอนของแอปแผนที่ (Maps) ซึ่งเราสามารถเลือกสถานที่เพื่อให้ระบบนำทางไปได้
ในแง่ของวัสดุแม้ว่าจะใช้อะลูมิเนียมเหมือนกันในซีรีส์ Apple Watch และ Apple Watch Nike+ แต่ว่าฝาหลังของรุ่น Cellular นั้นจะทำด้วยเซรามิกให้ความสวยงามและทนทานมากขึ้น อีกทั้งรุ่น Cellular นั้นจะมีตัวเรือนแบบสแตนเลสสตีลและเซรามิกให้เลือกซื้ออีกด้วย
ภายใน
ส่วนระบบภายในที่เพิ่มเข้ามานั้นก็คือ รองรับ eSIM ที่สามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณโทรศัพท์มือถือได้ ทำให้สามารถโทรออก รับสายและใช้งานอินเทอร์เน็ตได้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กับ iPhone เช่น การรับส่งข้อความผ่าน iMessage, สตรีมมิ่งเพลงจาก Apple Music, ใช้แอปแผนที่สำหรับการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง, ใช้งาน Siri ได้ถามตอบต่างๆ หรือสั่งให้เล่นเพลง, สั่งให้เปิดแอปอย่างแอปออกกำลังกายได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ความจุภายนั้นที่ให้มานั้นจะมากกว่ารุ่น GPS ธรรมด้วย ซึ่งในรุ่น Cellular จะให้ความจุมาทั้งสิ้น 16GB มากกว่ารุ่นธรรมดาที่ให้มาเพียง 8GB เท่านั้น
ทั้งนี้สามารถชม เปรียบเทียบ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS กับ GPS + Cellular แตกต่างกันยังไงได้เพิ่มเติมที่นี่
4. ค่ายมือถือใดบ้างที่มี eSIM แล้ว
ณ ปัจจุบันวันที่ 5 เมษายน 2561 จะมีเพียงเครือข่าย TrueMove H เท่านั้นที่พร้อมให้บริการ eSIM สำหรับ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular โดยอัตราค่าบริการและโปรโมชันั้นสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ ส่วนค่ายอื่นๆ ที่เหลืออย่าง AIS, dtac นั้นต้องรอประกาศอีกครั้งว่าจะรองรับเมื่อไหร่
5. จะใช้ Apple Watch กับเครือข่ายนั้นๆ จำเป็นไหมที่ต้องซื้อตัวเครื่องจากที่นั่น?
ไม่จำเป็นครับ คุณสามารถซื้อ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular จากที่ไหนก็ได้ เช่น จาก Apple Store Online, จากร้านตัวแทนอย่าง Studio 7 หรือแม้กระทั่งจากเครือข่ายผู้ให้บริการอย่าง TrueMove H ก็ได้ครับ เมื่อซื้อแล้วสามารถนำเครื่องมาเชื่อมกับ eSIM ของเครือข่ายนั้นๆ ได้เลย และใช้เวลาไม่นานครับ ระบบก็พร้อมใช้งานได้เลย
หากถามว่าจะซื้อที่ไหนดี? ผมก็คงตอบว่า ให้เช็คที่เครือข่ายก่อน เพราะว่าจะมีโปรโมชันของการเปิดใช้ eSIM ด้วย ปกติการเปิดใช้บริการ eSIM จะต้องมีค่าธรรมเนียมในครั้งแรก เช่น ของ TrueMove H ต้องจ่าย 299 บาทเพื่อเปิดบริการ eSIM และจะมีค่าบริการรายเดือน 199 บาทต่อเดือนด้วย แต่ถ้าซื้อกับเครือข่าย ก็จะได้โปรโมชันที่เราอาจจะไม่ต้องจ่ายค่าเปิดซิมหรือค่าบริการรายเดือนนั้นเลยครับ
6. ตั้งค่าใช้งาน eSIM ยากไหม ทำเองได้หรือเปล่า?
บอกเลยง่ายมากๆ ผมใช้เครือข่าย TrueMove H หลังจากที่อัปเดต iOS 11.3 ให้กับ iPhone และอัปเดต watchOS 4.3 ให้กับ Apple Watch Series 3 GPS + Cellular ก็สามารถสั่ง Activate eSIM ได้ง่ายๆ ผ่านแอป Watch บน iPhone ได้เลย ส่ิงที่ต้องมีก็เพียงข้อมูลที่เราลงทะเบียนไว้กับทางเครือข่าย กรอกให้ครบ เพียงเท่านี้ก็พร้อมใช้งานได้แล้ว ส่วนค่าบริการนั้นก็ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่เราใช้กับเครือข่ายนั้นๆ
7. ความเห็นหลังการใช้งาน Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular และตอบคำถามทั่วไป
ในหัวข้อนี้จะเป็นการรีวิวลงลึกถึงการใช้งานที่จริงเชื่อว่าหลายๆ คนต้องอยากทราบอย่างแน่นอน พร้อมกันแล้วเราไปชมกันเลยครับผม
หลังจากที่ได้ใช้งาน Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular นั้นพบว่า
- สะดวกสำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกายไม่ว่าจะในร่มหรือกลางแจ้ง ยกตัวอย่างผมเองเป็นคนชอบวิ่งแต่เดิมต้องพก iPhone ไปด้วย โดยต้องหากระเป๋าหรือซองรัดรอบเอวใส่ iPhone เอาไว้ เพื่อเชื่อมต่อกับหูฟังทั้งแบบสายและไร้สายและติดตามการวิ่งด้วยการบันทึกระยะทาง ความเร็ว ฯลฯ และเอาไว้รับสายเมื่อมีคนโทรเข้า ปัญหาที่ตามมาคือเรื่องของน้ำหนักและการขยับขึ้นลงของซองใส่ iPhone ก็ทำให้เสียจังหวะได้ แถมแบกน้ำหนักเพิ่มด้วยครับ
- ออกไปวิ่งไม่ต้องพก iPhone ในรุ่นนี้ Apple Watch Series 3 GPS + Cellular นี้ช่วยแก้ปัญหาจากข้อก่อนหน้านี้ให้เราได้ ผมสามารถออกไปวิ่งระยะทาง 10 กม. นานประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ได้ โดยไม่ต้องพก iPhone ออกไป โดยสามารถทำได้ทั้งสตรีมมิ่งฟังเพลงผ่าน Apple Music ที่มีมากกว่า 45 ล้านเพลง เชื่อมต่อกับ AirPods, บันทึกสถิติการวิ่งด้วยแอป Nikie+ Run Club แถมยังสามารถรับโทรออกรับสายเมื่อกรณีฉุกเฉินได้อีกด้วย ถือว่าดีงามมากๆ เลย ไม่ต้องถือ iPhone ให้เมื่อยอีกต่อไป
- เรื่องแบตเตอรี่ทนไหม? ถ้าใช้งานปกติไม่ได้ออกกำลังกายเอาไว้แค่ดูเวลาและดูการแจ้งเตือนเฉยๆ รุ่นนี้สามารถใช้งานได้เกิน 1 วันครับ เผลอๆ 2 วันถึงชาร์จทีนึง ถือว่าแบตเตอรี่ค่อนข้างทนครับ จากการทดสอบใช้งานจริง ผมวิ่งระยะทาง 10 กม. ใช้เวลาทั้งหมด 1.08 ชม. แบตเตอรี่จาก 65% ลดลงเหลือ 38% สิ่งที่ผมเปิดใช้งานก็ได้แก่แอป Nike+ Run Club, ฟังเพลงจาก Apple Music แบบสตรีมมิ่งให้เสียงส่งไปยัง AirPods เมื่อวิ่งเสร็จแบตเตอรี่ยังเหลือแถมระวังวิ่งมีสายโทรเข้าก็สามารถรับสายคุยได้เลยครับ
- ระบบจะปรับเองว่าจะใช้เน็ตจากมือถือหรือว่าผ่าน eSIM ในเครื่อง ตอนแรกผมก็กังวลว่าตัวนาฬิกาจะเชื่อมต่อกับสัญญาณเครือข่ายตลอดเวลาเลยไหม เพราะถ้าเชื่อมต่อตลอดแน่นอนว่าต้องมีผลกับแบตเตอรี่ที่จะหมดอย่างไวกว่าปกติ แต่ทั้งนี้มาทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่านาฬิกาจะเชื่อมต่อกับสัญญาณเครือข่ายก็ต่อเมื่อไม่สามารถติดต่อกับ iPhone ได้ เช่น เราอยู่ห่างจาก iPhone เกินไป หรือไม่ก็เราเปิด Airplane Mode บน iPhone จากนั้นนาฬิกาจะเชื่อมต่อสัญญาณอัตโนมัติทันที (ใช้เวลาประมาณ 30 วินาที) โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ส่วนนี้คือดีมากๆ ทั้งเรื่องการประหยัดพลังงาน, เรื่องความสะดวกที่ไม่ต้องมากดปิด เปิดโหมด Cellular เอง
- โทรออกรับสายได้ไร้ปัญหา ตราบใดที่พื้นที่นั้นๆ มีสัญญาณมือถือครอบคลุม (ที่นาฬิกาจะบอกความแรงของสัญญาณโทรศัพท์ให้ด้วย) ก็ไม่ต้องกลัวจะพลาดการติดต่อ
- มือถือแบตหมดก็ยังโทรเข้าออกผ่าน Apple Watch ได้ ส่วนนี้ถือว่าดีงามเลย บางทีเราไม่ค่อยได้ใช้นาฬิกาทำให้แบตยังเหลือๆ แต่บังเอิญ iPhone เราแบตเตอรี่หมดซะงั้น ไม่ต้องกังวลไปอย่างน้อยคุณก็ยังโทรออกรับได้สายผ่านนาฬิกาบนข้อมือของคุณอยู่ดี
- ความเร็วในการประมวลผล ถือว่าทำได้ดีและรวดเร็ว ไม่ช้าตอบสนองได้ดี เปิดแอปได้เร็วซึ่งจุดนี้มีผลอย่างมาก ส่วนตัวแล้วผมอัปเกรดจาก Apple Watch รุ่นที่ 1 มาใช้รุ่นนี้ (ก็ถือว่านานนะ) ความเร็วต่างกันมากมาย กดเปิดแอปไม่ต้องรอแบบรุ่นเก่า ถูกใจมากครับ
- Hey Siri ช่วยได้มากจริงๆ ปกติผมไม่ค่อยใช้ Siri บน iPhone สักเท่าไหร่เพราะเราถนัดกดเข้าไปดูเองมากว่า แต่ด้วยความเล็กของ Apple Watch การมี Siri เข้ามานั้นทำให้เราสั่งการได้ง่ายและสะดวกมากกว่าการกดเข้าไปดูแต่ละแอปอย่างแน่นอน เช่น การสั่งให้เปิดเพลงสำหรับ Workout เราก็เพียงสั่งผ่านเสียง รอไม่นานระบบก็จะเปิดเพลงโปรดมาให้เราฟังแล้วก็โดยที่ไม่ต้องแตะหน้าจอ Apple Watch ให้เสียเวลา มันเจ๋งมาก ใครยังไม่ใช้ก็ลองดูนะ
- (ทดสอบแล้ว) สามารถรับข้อความ LINE, Facebook ได้ และตอบกลับด้วยข้อความอัตโนมัติ, emoji หรือเขียนข้อความด้วยเสียงได้ เหมือนกับตอนที่เชื่อมต่อกับ iPhone ในส่วนของ LINE ตอบได้ง่ายทั้งพิมพ์ผ่านเสียงและส่งข้อความเสียงได้อันนี้สะดวกดี ส่วน Facebook Messenger นั้นยังไม่เวิร์กเท่าไหร่ ระบบแบบตอนเปิดออกมายังไม่แสดงรายชื่อของคนที่ส่งมาทั้งหมด และแถมตอนตอบกลับก็ค่อนข้างยากและไม่มีตอบกลับผ่านข้อความเสียงอีกด้วย (ปล. จะใช้บริการนี้ได้ iPhone เราต้องไม่เปิด Airplane Mode และวางในจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้)
- ไม่ต้องพึ่ง iPhone จริงๆ เหรอ? เป็นคำถามที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่รุ่นนี้เปิดตัว พอได้ลองใช้แล้วผมมองว่า ก็มีบางจุดที่ไม่ต้องใช้ iPhone อย่างเช่น การออกไปวิ่ง การฟังเพลง การโทรศัพท์ แต่ทว่ามันแค่ชั่วคราวในบางเวลาเท่านั้น ผมยังคิดว่ายังไงส่วนใหญ่คนก็ต้องพก iPhone อยู่แล้ว แต่ว่าบางเวลาเราก็ไม่จำเป็นต้องเอา iPhone ไปด้วย เช่น อาจจะเดินลงกดกดน้ำที่ใต้คอนโด, เดินไป 7-Eleven ที่หน้าปากซอยใกล้ๆ หรือลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดสัก 1 ชั่วโมง แบบนี้จะเหมาะกว่า
- ใช้งานร่วมกับหูฟังและลำโพง Bluetooth ที่ไม่ใช่ AirPods ก็ได้เหมือนกัน คุณไม่จำเป็นต้องซื้อ AirPods ก็ได้ หากคุณมีหูฟัง Bluetooth ยี่ห้ออื่นอยู่แล้วอยากใช้คู่กับ Apple Watch Series 3 GPS + Cellular เพื่อฟังเพลงช่วงออกกำลังกายหรือเดินทางไปทำงานก็สามารถทำได้เช่นกัน หรือจะสตรีมเพลงสดจาก Apple Music ไปยังลำโพง Bluetooth ในห้องนอนก็สะดวกไม่ใช่น้อย
- เข้าเว็บไม่ได้นะ แม้ว่ารุ่นนี้จะรองรับ LTE เล่นเน็ตได้แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้าเว็บผ่าน Sarafi เหมือน iPhone ได้นะ ผมว่าหน้าที่มันก็ต่างกันอยู่แล้ว คงไม่มีใครอยากจะอ่านเว็บจากหน้าจอเล็กขนาดนี้ใช่ไหม
- ไม่รองรับ Spotity, JOOX Music และแอปฟังเพลง 3rd Party อื่นๆ อันนี้ต้องบอกให้ทราบเลยหากใครจะฟังเพลงต้องผ่าน Apple Music อย่างเดียว ถือว่าเป็นข้อจำกัดค่อนข้างมาก ดังนั้นใครติด Spotify, JOOX Music และหวังจะใช้คู่กับนาฬิกาเรือนนี้คิดดีๆ หรือไม่งั้นทางเดียวที่คุณจะต้องเลือกคือ สมัครใช้งาน Apple Music แทนหละ
8. รุ่น ราคา และสถานที่จัดหน่าย
ราคาจัดจำหน่ายของ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular อ้างอิงจาก Apple Store Online ประเทศไทย
Apple Watch
- อะลูมิเนียม ราคาเริ่มต้น — ราคา 14,900 บาท
- สแตนเลสสตีล ราคเริ่มต้น — ราคา 21,900 บาท
Apple Watch Nike+
- อะลูมิเนียม ราคาเริ่มต้น — ราคา 14,900 บาท
Apple Watch Edition
- เซรามิก ราคาเริ่มต้น — ราคา 47,900 บาท
สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ Apple Store และนอกจากนี้สามารถซื้อที่ได้ True Shop และ Studio 7 ได้อีกด้วย (ราคาของแต่ละที่จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง)
9. สรุป
Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ไม่ได้ออกมาเพื่อแทนที่ iPhone แต่มาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด ให้การเชื่อมต่อกันนั้นไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น
ทำให้ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนได้มากขึ้นในโอกาสที่สำคัญ ต้องยอมรับว่าหลายๆ ครั้งที่เราไปทำกิจกรรมกับครอบครัวหรือกับเพื่อนๆ เช่น นัดกันทานข้าวเรามักจะเข้าโหมดสังคมก้มหน้าซะส่วนใหญ่ (ผมก็เคยเป็น) ซึ่งมันดูไม่ดีเลยและหลายครั้งต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เช็คมือถือ การมี Apple Watch เข้ามาก็ช่วยให้เราไม่ต้องหยิบมาถือมาใช้งานในยามที่ไม่จำเป็นจริงๆ เช่นดู Notification จากแอปต่างๆ ก็ดูผ่าน Apple Watch ได้เลย เราจะได้มีเวลาให้กับครอบครับและเพื่อนรอบกายได้มากขึ้น
สำหรับ Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular เองสำหรับผมคิดว่าเป็นการเพิ่มความสะดวกเข้ามาและแก้ไขจุดเจ็บ (Pain Point) ของผู้ใช้งาน ซึ่งหลักๆ คือผู้ที่ออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง ปั่น โต้คลื่น ปีนเขา ฯลฯ ซึ่ง ณ ตอนนั้นการพก iPhone หรือหยิบจับ iPhone ขึ้นมาดูก็คงไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ ทำให้ Apple Watch นั้นถูกพัฒนาเพิ่มเติมในจุดที่ไม่เคยมีมาก่อนนั่นคือการเชื่อมต่อกับสัญญาณโทรศัพท์ได้ทุกที่ทุกเวลา
ถามว่าทุกคนจำเป็นไหมที่จะต้องซื้อรุ่น Cellular ผมเองต้องบอกว่า “ยังไม่ต้องมีก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเหตุผลของแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันออกไป ผมบอกข้อดีของรุ่นนี้ไปแล้ว ส่ิงที่ต้องแลกเพื่อให้ได้รุ่นนี้มาใช้งานก็คงเป็นเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน แต่ถ้าหากคุณไม่มีปัญหาเรื่องนั้น
ส่วนตัวแล้วผมมองว่า Apple Watch Series 3 GPS + Cellular ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะทำให้ชีวิตการเชื่อมต่อของเรานั้นเชื่อมต่อกันได้สะดวกและราบรื่นมากยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รีวิว Apple Watch Series 3 GPS + Cellular และรุ่นธรรมดายังไม่จบเพียงเท่านี้นะครับ บทความรีวิวนี้ถือว่าเป็นภาพรวมของรุ่นนี้เท่านั้น ทีมงาน iMod จะมีรีวิวให้ทราบเป็นระยะๆ สามารถติดตามได้ตลอดครับผม
ขอบคุณสำหรับการอ่านรีวิวในครั้งนี้
แล้วพบกันครั้งหน้าครับ
แอดมินต้อม iMod