ยอมรับเลยว่าความสนใจของ iPhone XR นั้นเหมือนจะสูงกว่ารุ่น TOP ที่เป็น iPhone XS Max ด้วยซ้ำ และจากผลทดสอบก่อนหน้าซึ่งถึงแม้ว่าจะมี RAM น้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพนั้นดันใกล้เคียงกัน เนื่องด้วยความละเอียดจอที่น้อยกว่า ดังนั้นการใช้ทรัพยากรเพื่อประมวลผลจึงต่ำกว่า สำหรับจุดขายของ XR และ 8 สองรุ่นนี้เหมือนกันคือเป็น “พระรอง” ที่บทอาจไม่เด่นนัก แถมราคาก็ถูกน่าค้นหาเลยทีเดียว
1. ประสิทธิภาพ
iPhone 8 เลือกใช้หน่วยประมวลผล A11 Bionic (RAM 2GB) ส่วนสำหรับ iPhone XR เป็นหน่วยประมวลผล A12 Bionic (RAM 3GB) ซึ่งนับจากนี้เชื่อว่า RAM 3GB จะเป็นมาตรฐานของ iOS หลายเวอร์ชันในอนาคต (แต่ไม่ใช่ตอนนี้) ถ้าหากคุณต้องการใช้งานยาว ๆ บวกเงินสักเล็กน้อยเพื่อเลือก XR ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ส่วนในแง่ของหน่วยประมวลผล A11 Bionic กับ A12 Bionic อาจไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก เพราะการใช้งานทั่วไปมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นสูงสุดเพียง 15% แต่จะให้น้ำหนักไปในเรื่องของกราฟิก, กล้อง, และการประหยัดพลังงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่า แต่ถึงอย่างไรชิปให้นี้จะส่งผลต่อการถ่ายภาพรวมทั้ง AR โดยตรง
2. สแกนใบหน้า
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ปีก่อนจำเป็นต้องจ่ายเงินถึง 40,500 บาท แต่ในตอนนี้มาอยู่ใน iPhone XR ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 29,500 บาท (ประหยัดไปหมื่นนึง!) สำหรับคนที่ถือหรือเคยใช้ iPhone X อาจไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมาก แต่สำหรับคนที่ใช้ไอโฟนรุ่นเก่ามาก่อน Face ID เป็นประสบการณ์ที่น่าค้นหามากครับ
3. หน้าจอ
สำหรับคุณภาพหน้าจอ 6.1″ เมื่อเทียบกับ iPhone 8 ที่เป็น 4.7″ โดยทั้งสองรุ่นมีคุณภาพจอที่เป็น LCD ใกล้เคียงกัน มีความหนาแน่นของพิกเซลเท่ากัน แต่จำนวนพิเซลต่างกันเพราะมีขนาดจอที่ใหญ่กว่า สิ่งที่ผู้เขียนขัดใจเล็กน้อยคือหน้าจอทั้งคู่ไม่เป็น Full HD ต่างจาก iPhone 8 Plus ที่ดูสมเหตุสมผลมากกว่า
จุดสังเกตเพิ่มเติมคือ iPhone XR มีหน้าจอที่เรียกว่า Liquid Retina HD ซึ่งรองรับลูกเล่นอย่างการ “แตะเพื่อปลุก” แต่ถึงอย่างไรก็โดนตัดทอนความสามารถเด่นออกไปอย่าง 3D Touch ทำให้ไม่สามารถรับรู้ถึงแรงกดได้
4. ขนาดและน้ำหนัก
เหตุการณ์ต่อเนื่องจากหน้าจอ iPhone XR มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.1″ แต่อย่าพึ่งตกใจไปเพราะขนาดมันไม่ใหญ่มากอย่างที่คิด (แต่อันที่จริงก็ใหญ่อยู่ดีแหล่ะ) เพราะด้วยขอบจอที่บางทำให้ขนาดมันเล็กกว่า iPhone 8 Plus เสียอีก และถึงอย่างไรสำหรับคนชอบขนาด iPhone 8 อาจไม่ประทับใจนัก เพราะว่าเมื่อเทียบกันจริง ๆ แล้วขนาดมันก็ยังใหญ่ประมาณหนึ่ง
5. กล้อง
ทั้งคู่เป็นกล้องเดี่ยวที่มีความละเอียดและรูรับแสงเหมือนกันทุกประการ แต่ด้วยความพิเศษของหน่วยประมวลผลทำให้สามารถถ่ายรูปได้ “ฉลาด” มากกว่า โดยมีคุณสมบัติการถ่ายภาพบุคคลและการควบคุมระยะชัดลึก (จัดแสงได้ 3 แบบ) แถมยังมี Smart HDR ที่ถ่ายย้อนแสงได้แบบไม่ต้องกลัวกล้องสั่น ส่วนการถ่ายวิดีโอจะมีช่วงไดนามิกกว้าง พร้อมกับบันทึกเสียงแบบสเตอริโอ
หันมาที่กล้องหน้าก็เหมือนเดิมทุกประการ (อีกแล้ว) แต่เช่นกันด้วยคุณสมบัติของหน่วยประมวลผล ทำให้สามารถ่ายภาพบุคคลและการควบคุมระยะชัดลึก (จัดแสงได้ 5 แบบ) แถมยังมี Smart HDR ที่ถ่ายย้อนแสงได้แบบไม่ต้องกลัวกล้องสั่น การถ่ายแบบช่วงไดนามิกกว้างขึ้น ระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ และด้วยความที่มันมีเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าจึงทำให้มี Animoji และ Memoji
6. แบตเตอรี่
iPhone XR นับเป็นไอโฟนรุ่นที่แบตเตอรี่อึดมากที่สุด จากเดิมที่ iPhone 8 Plus ก็อึดมากแล้ว แต่ด้วยความที่หน่วยประมวลผลประหยัดพลังงาน มันจึงสามารถใช้งานได้นานมากกว่า 1.5 ชั่วโมง และยิ่งหากเทียบกับ iPhone 8 ที่สามารถสนทนาได้ 14 ชั่วโมง ก็เท่ากับว่า iPhone XR สามารถสนทนาได้ยาวถึง 25 ชั่วโมง! และหากเทียบจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 12 และ 15 ชั่วโมงตามลำดับ
7. สองซิม
ไอโฟนสองซิม ต่อจากนี้จะไม่ได้หมายถึงมือถือจีนแดงแต่อย่างใด Apple จัดมาให้แต่ในรูปแบบที่เราไม่คุ้นเคย ซึ่งระบบนี้คือ Dual SIM (nano-SIM + eSIM) โดยซิมหนึ่งจะเป็นซิมปกติ ส่วนอีกซิมจะเป็นซิมที่ไม่มีตัวตน วิธีใช้งานก็แค่ไปเปิดกับเครือข่ายที่รองรับ ส่วนหากเป็นโซนประเทศจีน ฮ่องกงหรือมาเก๊า จะพิเศษนิดตรงที่เป็น nano-SIM + nano-SIM ในแบบที่เราคุ้นเคยกันดี
8. ราคา
หาเทียบจากราคาเปิดตัว XR ถือว่าแพงกว่า $50 (ประมาณ 1,500 บาท) แต่สำหรับราคาไทยยังไม่เปิดตัว ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ประมาณ 29,500 บาท และจากการที่ iPhone 8 ลดราคา 5,000 บาท ทำให้ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 23,900 บาท เท่ากับว่าส่วนต่างก็อยู่ประมาณห้าพันบาท โดยส่วนตัวผู้เขียนแนะนำเป็น XR ไปเลยดีกว่า
แต่สำหรับใครที่ยังคงชอบดีไซน์ที่มีปุ่มโฮมหรือรอ iPhone XR ไม่ไหว (กว่าจะมาประเทศไทยก็คงอีกนาน ประมาณเดือน ธ.ค.-ม.ค. เลยทีเดียว) ก็สามารถเลือกซื้อ iPhone 8 และ iPhone รุ่นอื่นๆ ที่กำลังลดราคาจากเดิมหลายพันได้ที่ Studio 7 ทุกสาขา ค้นหา Studio 7 ใกล้บ้านท่าน นอกจากจะได้รับคำแนะนำดีๆ จากพนักงานแล้ว ทางร้านยังมีบริการตรวจเช็คเครื่องให้อีกด้วย
ที่มา – apple.com