ทำความรู้จักฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ใน iPhone 14 และ Apple Watch รุ่นใหม่ อย่างฟีเจอร์ “การตรวจจับการชนกัน (Crash Detection)” ตรวจจับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ และต่อสายฉุกเฉินให้เมื่อผู้ใช้ไม่ตอบสนอง
ฟีเจอร์การตรวจจับการชนกัน (Crash Detection) บน iPhone และ Apple Watch
iPhone 14 ทุกรุ่น, Apple Watch Series 8, Apple Watch SE 2 และ Apple Watch Ultra มาพร้อมฟีเจอร์การตรวจจับการชนกันหรือ Crash Detection ที่สามารถตรวจจับเหตุรถชนอย่างรุนแรงได้
เมื่อมีการเกิดอุบัติเหตุรถชน หลังจากตรวจจับได้ หากผู้ใช้ไม่ตอบสนองภายใน 10 วินาที ระบบจะโทรหาบริการฉุกเฉินพร้อมกับแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในรายชื่อติดต่อฉุกเฉินให้เรา
ฟีเจอร์การตรวจจับการชนกันทำงานได้อย่างไร ?
ฟีเจอร์การตรวจจับการชนกันต้องใช้องค์ประกอบหลาย ๆ อย่างใน iPhone และ Apple Watch เพื่อทำงานร่วมกัน ดังนี้
- ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่างกระทันหัน โดยใช้ตัววัดแรง g ที่เปลี่ยนไป มีความสามารถในการตรวจวัดแรง g ได้สูงสุด 256 g เมื่อเกิดการเร่งหรือลดความเร็วฉับพลันก็จะสามารถตรวจจับได้
- ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทิศทางกระทันหัน โดยใช้ไจโรสโคปช่วงไดนามิกสูง
- ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงค่าความดันภายในห้องโดยสาร บารอมิเตอร์จะตรวจจับแรงดดันในห้องโดยสารที่เปลี่ยนไปเมื่อถุงลมนิรภัยในรถทำงาน
- ตรวจจับระดับเสียงปะทะที่ดังอย่างรุนแรง โดยใช้ไมโครโฟนใน iPhone หรือ Apple Watch
ก่อนจะมาเป็นฟีเจอร์นี้ Apple ได้ทำการทดสดการชนของรถในห้องปฏิบัติการเพื่อจำลองเหตุการณ์ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งการชนด้านหน้า ชนท้าย ชนด้านข้าง และการพลิกคว่ำ
และยังมีการใช้ข้อมูลการชนที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมงมาวิเคราะห์และพัฒนาเพื่อให้ iPhone รับรู้ได้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้ใช้
ฟีเจอร์การตรวจจับการชนกัน (Crash Detection) ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ แต่เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยโอกาสการรอดชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับผู้ใช้ ถือว่าเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ความปลอดภัยที่สำคัญมาก ๆ เพราะบางคนอาจใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนไปแล้วกว่าครึ่งวัน iPhone 14 ทุกรุ่น, Apple Watch Series 8, Apple Watch SE 2 และ Apple Watch Ultra ที่มีฟีเจอร์นี้ถือว่าเป็นไอเท็มติดตัวที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ