Apple เปิดตัว iPhone 14 และ iPhone 14 Pro ที่มาพร้อมคุณสมบัติใหม่มากมาย ทั้งการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ไม่มีใน iPhone รุ่นเก่า ๆ มีแค่ใน iPhone 14 Series เท่านั้น! มีอะไรบ้าง มาดูกัน
12 สิ่งใหม่ใน iPhone 14 ที่ iPhone รุ่นอื่นไม่มี
1. กล้อง TrueDepth แบบใหม่ (iPhone 14 ทุกรุ่น)
กล้องหน้าหรือกล้อง TrueDepth ใน iPhone 14 ทุกรุ่นเป็นกล้องความละเอียด 12MP เช่นเดิม ที่ได้รับการปรับปรุงคือมีรูรับแสงขนาด ƒ/1.9 ซึ่งกล้อง TrueDepth ของ iPhone รุ่นก่อนหน้ามีรูรับแสงขนาด ƒ/2.2 ทำให้ iPhone 14 สามารถถ่ายรูปด้วยกล้องหน้าในสภาวะที่แสงน้อยได้ดีกว่า
กล้อง TrueDepth ใน iPhone 14 ยังมีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามา คือ Auti Focus หรือออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels ที่สามารถจับใบหน้าคนได้ รองรับการจับใบหน้าคนหลายคนในเฟรมด้วย
2. Photonic Engine (iPhone 14 ทุกรุ่น)
Photonic Engine ทำงานร่วมกับกล้องทุกตัวใน iPhone 14 เป็นตัวช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการถ่ายภาพในสภาวะแสงปานกลางถึงน้อย เป็นการผสานการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ให้ประสิทธิภาพดังนี้
- กล้องอัลตร้าไวด์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น 2 เท่า
- กล้อง TrueDepth มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น 2 เท่า
- กล้องหลักใหม่มีประสิทธิภาพดีขึ้น 2.5 เท่า
Photonic Engine ใช้ประโยชน์ของการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จาก Deep Fusion ตั้งแต่ช่วงต้นของกระบวนการประมวลผลภาพ เพื่อแสดงรายละเอียดได้อย่างครบครัน ทั้งพื้นผิวที่มีความละเอียด สีสันและเก็บข้อมูลในภาพถ่ายได้มากขึ้นด้วย
3. โหมดภาพยนตร์ 4K สูงสุด 30 fps (iPhone 14 ทุกรุ่น)
Apple เปิดตัวโหมดภาพยนตร์หรือ Cinematic Mode ครั้งแรกใน iPhone 13 โดยฟีเจอร์นี้จะสลับโฟกัสไปยังสิ่งที่สำคัญที่สุดในฉากโดยอัตโนมัติ มอบประสบการณ์การถ่ายวิดีโอแบบเดียวกับที่ผู้สร้างภาพยนตร์ทำ
สิ่งที่ iPhone 14 ทำได้เหนือกว่าก็คือ สามารถบันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps ได้แล้ว ซึ่งเป็นอัตราเฟรมเรตเดียวกับที่เราเห็นในภาพยนตร์ และยังสามารถปรับเป็นแบบ 30 fps ได้ด้วย
4. Action Mode (iPhone 14 ทุกรุ่น)
ในการถ่ายวิดีโอ ควบคุมการสั่นได้ดีขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเคลื่อนไหวแบบรวดเร็ว โหมดแอ็คชั่นก็จะช่วยทำให้วิดีโอดูสมูทมากขึ้น โหมดแอ็คชั่นใน iPhone 14 สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 2.8K ที่ 60 fps
5. ฟีเจอร์การตรวจจับการชนกัน (iPhone 14 ทุกรุ่น)
iPhone 14 มีฟีเจอร์การตรวจจับการชนกันหรือ Crash Detection ที่สามารถตรวจจับเหตุรถชนอย่างรุนแรง หลังจากตรวจจับได้ หากเราไม่ตอบสนองภายใน 10 วินาที ระบบจะโทรหาบริการฉุกเฉินพร้อมกับแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในรายชื่อติดต่อฉุกเฉินให้เรา
ฟีเจอร์นี้ทำงานได้อย่างไร ?
- ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่างกระทันหัน โดยใช้ตัววัดแรง g ที่เปลี่ยนไป เมื่อเกิดการเร่งหรือลดความเร็วฉับพลัน
- ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงทิศทางกระทันหัน โดยใช้ไจโรสโคปช่วงไดนามิกสูง
- ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงค่าความดันภายในห้องโดยสาร บารอมิเตอร์จะตรวจจับแรงดดันในห้องโดยสารที่เปลี่ยนไปเมื่อถุงลมนิรภัยในรถทำงาน
- ตรวจจับระดับเสียงปะทะที่ดังอย่างรุนแรง โดยใช้ไมโครโฟนใน iPhone
นอกจากนี้ฟีเจอร์นี้ยังผ่านการทดสดการชนในห้องปฏิบัติการเพื่อจำลองเหตุการณ์ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งการชนด้านหน้า ชนท้าย ชนด้านข้าง และการพลิกคว่ำ
และยังมีการใช้ข้อมูลการชนที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมงมาวิเคราะห์และพัฒนาเพื่อให้ iPhone รับรู้ได้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับผู้ใช้
นอกจากนี้ฟีเจอร์การตรวจจับการชนกันยังสามารถใช้งานได้ใน Apple Watch Series 8, Apple Watch SE 2 และ Apple Watch Ultra
6. ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม (iPhone 14 ทุกรุ่น)
ฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมที่เปิดตัวมาใน iPhone 14 เป็นฟีเจอร์ด้านควาปลอดภัยใหม่ที่จะช่วยเหลือผู้ใช้หากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ห่างไกล อับสัญญาณ หรือพื้นที่ที่สัญญาณโทรศัพท์ เซลลูลาร์และ Wi-Fi เข้าไม่ถึง
7. Dynamic Island (เฉพาะ iPhone 14 Pro)
Dynamic Island เป็นนวัตกรรมใหม่ของ Apple ที่เป็นทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เมื่อทำงานร่วมกันจะแสดงผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง ซึ่งจะเด้งการแจ้งเตือน เพลง ผลการแข่งขันกีฬา หรือ FaceTime การชาร์จแบตเตอรี่ การเชื่อมต่อ AirPods การสแกน FaceID และอีกมากมายขึ้นมาโดยไม่ไปขัดจังหวะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่
8. Always-On display (เฉพาะ iPhone 14 Pro)
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มาพร้อมหน้าจอ LTPO ProMotion ที่มีอัตรารีเฟรชอยู่ที่ 1-120Hz จึงรองรับคุณสมบัติ Always-On display หรือหน้าจอแบบติดตลอดที่จะแสดงข้อมูลสำคัญเช่น เวลา วิดเจ็ต บนหน้าจอล็อก โดยที่เราไม่ต้องปลุกจอขึ้นมาเพื่อดูข้อมูลเหล่านี้
9. กล้องหลัก 48 MP (เฉพาะ iPhone 14 Pro)
กล้องหลังของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เป็นกล้องหลัก เลนส์ไวลด์ที่มีความละเอียด 48MP: 24 มม. (ระยะทางยาวโฟกัส) มาพร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/1.78
ในเลนส์ตัวนี้ยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ รุ่นที่ 2 มีชุดเลนส์ 7 ชิ้น และ Focus Pixels 100%
10. ระยะซูม 2 เท่าในเลนส์ Telephoto (เฉพาะ iPhone 14 Pro)
Apple เพิ่มระยะการซูม 2 เท่าในเลนส์เทเลโฟโต้ ของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ทำงานโดยเซ็นเซอร์แบบ Quad‑pixel มีระยะทางยาวโฟกัส 48 มม.
ทำให้ในตอนนี้ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีระยะซูม 2X เพิ่มเข้ามาจากเดิมที่มีแค่ 0.5X, 1X และ 3X
ในเลนส์ตัวนี้ยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ รุ่นที่ 2 มีชุดเลนส์ 7 ชิ้น และ Focus Pixels 100%
11. ชิป A16 Bionic แรงที่สุดใน iPhone (เฉพาะ iPhone 14 Pro)
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ใช้ชิป A16 Bionic ที่ผลิตด้วยกระบวนการผลิตแบบ 4 นาโนเมตรทำให้สามารถจัดการเรื่องความร้อนได้ดีขึ้น แถมยังให้ประสิทธิภาพที่ลื่นไหลกว่าชิปตัวไหน ๆ บน iPhone
ชิป A16 Bionic มาพร้อม CPU แบบ 6‑core ซึ่งมีคอร์ด้านประสิทธิภาพ 2 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ ส่วน GPU มี 5‑core และ Neural Engine แบบ 16‑core
12. หน้าจอสว่างที่สุด (เฉพาะ iPhone 14 Pro)
หน้าจอของ iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max มีความสว่างสูงสุดเฉพาะจุด 2,000 นิต (กลางแจ้ง) ทำให้สามารถสู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดีกว่ารุ่นอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นคุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone 14 และ iPhone 14 Pro หากใครกำลังตัดสินใจซื้อยู่ก็สามารถใช้ข้อมูลนี้ประกอบการตัดสินใจได้ค่ะ