iPhone 14 แตกต่างจาก iPhone 13 อย่างไร, จ่ายเงินเพิ่ม 3-4 พัน ได้อะไรใหม่บ้าง ? มาพูดคุยกันในบทความนี้ได้เลย
iPhone 14 Series แตกต่างจาก iPhone 13 Series อย่างไร
iPhone 14 Series ได้เปิดตัวไปในงาน Apple Event “Far out.” เมื่อวันที่ 8 กันยายน ตามเวลาเที่ยงคืนของประเทศไทย ถือว่าเป็นหนึ่งใน Series ที่หลายคนจับตามองว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 13 วันนี้เรามาพูดคุยไปด้วยกันครับ
รุ่น Plus กลับมา รุ่น mini หายไป
iPhone 14 Series เปิดตัวทั้งหมด 4 รุ่น เท่ากับ iPhone 13 Series แต่มีการตัดรุ่นออกไปหนึ่งรุ่นนั่นก็คือ รุ่น mini และนำรุ่น Plus กลับมาอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ Apple ได้ใช้รุ่น Plus นี้กับ iphone 8
ขนาดหน้าจอ iPhone 14 Series
- iPhone 14 : ขนาดหน้าจอ 6.1″
- iPhone 14 Plus : ขนาดหน้าจอ 6.7″
- iPhone 14 Pro : ขนาดหน้าจอ 6.1″
- iPhone 14 Pro : Max ขนาดหน้าจอ 6.7″
ขนาดหน้าจอ iPhone 13 Series
- iPhone 13 mini : ขนาดหน้าจอ 5.4″
- iPhone 13 : ขนาดหน้าจอ 6.1″
- iPhone 13 Pro : ขนาดหน้าจอ 6.1″
- iPhone 13 Pro Max : ขนาดหน้าจอ 6.7″
ราคาแตกต่างจากเดิม เพิ่มขึ้น 3-4 พัน
ราคาที่เพิ่มขึ้นมาของ iPhone 14 รุ่นธรรมดา และ iPhone 14 รุ่น Pro แตกต่างกัน โดย iPhone 14 จะมีราคาที่เพิ่มขึ้นมา 3,000 และ 4,000 บาท เมื่อเทียบในรุ่นเดียวกัน สามารถดูรายละเอียดราคาที่เพิ่มขึ้นมาได้ด้านล่างนี้
ราคาเพิ่มขึ้นมา ได้อะไรใหม่บ้าง?
โดยหลักแล้วราคาที่เราจ่ายเพิ่มในการซื้อ iPhone 14 Series เมื่อเทียบกับ iPhone 13 Series จะเป็นในส่วนของฟีเจอร์ใหม่ และ ความสามารถของการถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ที่ทำได้มากขึ้น
เพื่อเห็นภาพได้ชัดจึงขอแยกออกเป็นรุ่นปกติและรุ่น Pro
iPhone 14 – iPhone 13
- ฟีเจอร์การตรวจจับการชน หรือ Crash Detection :
ฟีเจอร์นี้จะช่วยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้นมา หาก iPhone 14 ตรวจสอบแล้วจะมีการนับถอยหลัง 10 วินาที เพื่อให้เราตอบสนอง หากเราหมดสติ ไม่สามารถตอบสนองได้ ฟีเจอร์นี้ก็จะทำการโทรฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือเราในเคสนี้นั่นเอง
- Emergency SOS via Satellite :
ฟีเจอร์ใหม่อีกหนึ่งตัว ตรงนี้จะมีหน้าจอเรดาร์หันไปหาตำแหน่งดาวเทียม โทรฉุกเฉิน ส่งข้อความ
รองรับการสื่อสารผ่านดาวเทียมในกรณีฉุกเฉิน ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เราสามารถ ระบุเหตุฉุกเฉินด้วยตัวเลือกต่างๆ ที่มีให้บน iPhone ในการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็ว อีกด้วย
- ชิปประมวลผล :
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ใช้ชิป A15 เหมือนกับ iPhone 13 แต่มีจำนวน GPU มากขึ้น หากให้เข้าใจได้เห็นภาพ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ใช้ชิป A15 เดียวกันกับ iPhone 13 รุ่น Pro นั่นเอง
- ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ได้ดีขึ้น :
ด้วยกล้องหน้าที่มี Auto Focus มาให้ ใน iPhone 14 Series เป็นครั้งแรกและฟีเจอร์การถ่ายวีดีโอใหม่ ที่เรียกว่า “Action Mode” โหมดนี้จะช่วยให้เราถ่ายวีดีโอได้นิ่ง และ ลื่นไหลมากยิ่งขึ้นรวมถึง Photonic Engine ที่ Apple บอกว่าทำงานร่วมกับ Deep Fusion ทำให้ถ่ายภาพรายละเอียดได้สูงขึ้น ครอปภาพ ซูมภาพ แล้วยังเก็บรายละเอียดไว้ได้ดีและ iPhone 14 สามารถถ่ายวีดีโอโหมดภาพยนตร์ได้ในระดับ 4K 30fps แล้ว
iPhone 14 รุ่น Pro – iPhone 13 รุ่น Pro
ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ได้บอกไปข้างต้นนั้นมีอยู่ใน iPhone 14 รุ่น Pro ทั้งหมด สิ่งที่แตกต่างออกไปนั่นก็คือ
- ชิปประมวลผล :
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ใช้ชิป A16 ตัวใหม่ล่าสุดจากทาง Apple ที่ช่วยจัดการประสิทธิภาพและพลังงานได้ดีมากยิ่งขึ้น
- สำหรับรุ่น Pro กล้องหลัก Apple เขาอัปเกรดมาให้ความละเอียด 48MP เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น 65% เมื่อเทียบกับ iPhone 13 Pro และสามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้น 3 เท่า บนกล้อง Ultrawide และ ดีขึ้น 2 เท่า บนกล้องหลัก และ กล้อง Tele Photo
- ลูกเล่นของรูบนจอ ของ iPhone 14 Pro
iPhone 14 Pro มีไฮไลท์ ลูกเล่นใหม่ที่ iPhone รุ่นอื่นไม่มีนั่นก็คือ การโต้ตอบกับรูปบนจอที่เรียกว่า Dynamic Island ซึ่งหากเทียบราคาที่ต้องจ่ายในเพิ่มเข้ามา ก็ถือว่าน่าสนใจเพราะ สามารถแสดงข้อมูลได้ ใช้งานควบคุมแอปพลิเคชัน หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ ตรงนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกของเราได้มากขึ้น สนุกขึ้น ในการใช้งาน iPhone
- รองรับ Always-on Display
iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max รองรับรองรับ Always-on Display โดยใช้อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 1Hz สามารถแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ ได้ รวมถึงพื้นหลังจะลดความสว่างลง ซึ่ง iPhone 13 Pro มีอัตรรีเฟรชหน้าจอที่ 10Hz จึงไม่สามารถรองรับการใช้งาน Always-on Display ได้
- iPhone 14 Pro หน้าจอสว่างสุด
iPhone 14 มีความสว่างเฉพาะจุด มากกว่ารุ่นอื่นๆ แบบปกติที่ 1,600 นิต และ 2,000 นิตในการใช้งานกลางแจ้ง ตรงนี้จะช่วยตอบโจทย์การใช้งาน ทำให้เราเห็นรายละเอียดหน้าจอได้เด่นชัด สู้แสงได้ดีขึ้นนั่นเอง
สำหรับเคส iPhone 13 และ iPhone 14 นั้น อ้างอิงจากข้อมูลบนหน้าเว็บ Apple แล้ว จะไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ หากเป็นรุ่นปกติ วัดจากขนาดความหนาของ iPhone 13 ที่มีความหนา 7.65 มม. เทียบกับ iPhone 14 ที่มีความหนา 7.80 มม. จึงทำให้ใส่เคสแล้วอาจเกิดอาการคับ และไม่พอดีกับตัวเครื่องได้
และสำหรับ iPhone 14 รุ่น Pro ด้วยขนาดของเลนส์กล้องหลังที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงทำให้ขนาดไม่พอดีกับเคสของ iPhone 13 Pro ครับ