Nooknick Yanika
พามาดูบางฟีเจอร์ใน iOS 17 ที่ใช้ได้แค่ในอุปกรณ์บางรุ่น และเปิดให้ใช้งานในบางประเทศเท่านั้น มาดูกันว่ามีฟีเจอร์ไหนที่ถูกจำกัดไว้ด้วยเหตุผลบางอย่างบ้าง ?
รวมฟีเจอร์ iOS 17 ที่ใช้ได้บางอุปกรณ์ และบางประเทศเท่านั้น
ฟีเจอร์ใหม่บางฟีเจอร์ใน iOS 17 อาจจะไม่ได้ใช้งานได้ทุกคน ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะอัปเดตเป็น iOS 17 ได้ก็ตาม ตัวอย่างเช่น การเรียกใช้ Siri ที่สั้นลง และ Live Voice Mail
และเหตุผลว่าทำไมผู้ใช้บางคนและผู้ใช้ในบางประเทศถึงใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ไม่ได้ เหตุผลก็มักจะมาจากการจำกัดของฮาร์ดแวร์ ภูมิภาคและข้อจำกัดด้านภาษา (ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกามักจะได้ใช้งานทุกฟีเจอร์เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านภูมิภาคหรือภาษาใด ๆ)
- การเรียก Siri ที่สั้นลง
การเรียก Siri ใน iOS 17 สามารถใช้ได้ทั้ง “หวัดดี Siri” กับคำเรียกใหม่ที่พูดแค่เพียงคำว่า “Siri” ที่สั้นกว่า ทำให้เรียก Siri ได้ง่ายและเร็วขึ้น
และการเรียก Siri แบบสั้นลง ใช้ได้เฉพาะ AirPods Pro รุ่นที่ 2 (หรือ AirPods รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ชิป H2) เท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องตั้งค่าภาษาของ Siri เป็นภาษาอังกฤษด้วย (สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย) ภาษาอื่น ๆ ยังไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงภาษาไทยด้วย
ข้อจำกัดนี้อาจจะดูไม่สมเหตุสมผล เพราะปัจจุบันการเรียก “หวัดดี Siri (Hey, Siri)” ใช้งานได้ในเกือบ 40 ประเทศในภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก เราอาจจะต้องรอให้ Apple ฝึกอัลกอริธึมการเรียนรู้ของ Siri ก่อน
2. Adaptive audio
AirPods Pro รุ่นที่ 2 สามารถลดเสียงรบกวนรอบข้างที่ดังได้ โดยจะเป็นการปรับลดแบบ Adaptive ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเสียงโดยรอบ สิ่งนี้เรียกว่า Adaptive Transparency ซึ่งใน iOS 17 ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้กับ Adaptive Transparency ด้วยคุณสมบัติใหม่ที่เรียกว่า Adaptive Audio
ชิป H2 ใน AirPods Pro รุ่นที่ 2 จะช่วยปรับเสียงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น หากเราบังเอิญเดินผ่านไซต์งานก่อสร้างที่มีเสียงดัง Adaptive Audio จะปิดกั้นเสียงเหล่านั้นโดยไม่กลบเสียงพูดของเพื่อนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เรา
Adaptive Audioใ น iOS 17 ผสมผสานโหมด Transparency และ Active Noise Cancellation เข้าด้วยกันแบบไดนามิก ดังนั้นประมวลผลบนอุปกรณ์ต้องใช้ชิป H2 ทำให้ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้เฉพาะ AirPods Pro รุ่นที่ 2 เท่านั้น
3. FaceTime บน Apple TV
เราสามารถโอนสาย FaceTime ไปยัง Apple TV เพื่อเพลิดเพลินกับการโทรแบบวิดีโอบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ หรือจะเริ่มการโทรใหม่ได้โดยตรงบน Apple TV ซึ่งจะใช้กล้องของ iPhone เป็นตัวเก็บวิดีโอของเรา
การจะใช้งาน FaceTime บน Apple TV เราจะต้องอัปเดตเป็น iOS 17 และ tvOS 17 ใช้งานได้เฉพาะ Apple TV 4K รุ่นที่ 2 หรือใหม่กว่า
4. ประวัติกิจกรรมในแอปบ้าน
แอปบ้านใน iOS 17 มีประวัติกิจกรรมของอุปกรณ์ Smart Home ที่เชื่อมต่อกับตัวแอป หากอยากใช้งานฟีเจอร์การดูประวัติกิจกรรมก็ต้องใช้งานอุปกรณ์ Smart Home ที่รองรับสถาปัตยกรรมแอปบ้านของ Apple
5. NamDrop บน Apple Watch
NameDrop เป็นประสบการณ์การแชร์รายชื่อติดต่อแบบใหม่ใน iOS 17 เพียงนำ iPhone ของเราไปไว้ใกล้กับ iPhone หรือ Apple Watch ของคนอื่น ก็จะสามารถแชร์รายละเอียดการติดต่อและโปสเตอร์การติดต่อได้ในทันที
NameDrop สามารถใช้ได้ระหว่าง iPhone กับ Apple Watch Series 6 หรือใหม่กว่า รวมถึง Apple Watch Ultra และ Apple Watch SE ทุกรุ่นด้วย Apple Watch รุ่นเก่ากว่านี้ไม่สามารถใช้งานได้
NameDrop ใช้งานได้แล้วบน iPhone ส่วน Apple Watch จะได้ใช้งานกันในช่วงปลายปี 2023 นี้
6. การสลับการเชื่อมต่อ AirPods อัตโนมัติแบบรวดเร็ว
iOS 17 ปรับปรุงคุณสมบัติการสลับการเชื่อมต่อ AirPods อัตโนมัติระหว่างอุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้นของเรา ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับ iPhone XS หรือ iPhone XR หรือใหม่กว่า ไม่รองรับ iPhone SE
ส่วน AirPods รองรับแค่ AirPods รุ่นที่ 2 และ 3, AirPods Pro รุ่นที่ 1 และ 2 และ AirPods Max เท่านั้น (AirPods รุ่นแรกไม่รองรับ)
7. กดเพื่อเปิด/ปิดไมค์ บนก้าน AirPods
ใน iOS 17 เราสามารถกดที่ก้านของ AirPods เพื่อปิดเสียงหรือเปิดเสียงตัวเองขณะโทรได้ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้กับ iPhone ทุกรุ่นที่รองรับ iOS 17 แต่ไม่สามารถใช้ได้กับ AirPods รุ่นแรกและรุ่นที่ 2 เพราะไม่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกดนั่นเอง
8. Live Voice Mail
เราสามารถฝากข้อความเสียงหรือวิดีโอให้กับคู่สนทนาได้หากเขาไม่รับสายการโทร FaceTime ของเรา
Live Voice Mail ใช้งานได้บน iPhone ที่รองรับ iOS 17 แต่ใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษ (สหรัฐอเมริกา และแคนาดา) เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าหากอยากใช้งานข้อความแบบถอดเสียงสด ผู้โทรจะต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น
และนี่ก็เป็นฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 17 ที่ถูกจำกัดไว้ด้วยเหตุผลตามที่บอกไป และ iOS 17 จะปล่อยให้ใช้งานแบบเป็นทางการภายช่วงท้ายปี 2023 นี้ค่ะ
ที่มา – idownloadblog
