Apple เปิดตัว iPad Air 5 มาพร้อมสเปกที่น่าสนใจมาก! เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับราคาแน่นอน ใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อ iPad รุ่นไหนดี เหมาะหรือไม่? คุ้มหรือเปล่า? วันนี้เรามาชมการเปรียบเทียบสเปกว่ามีจุดไหนเหมือนหรือแตกต่างกันบ้าง ไปชมกันเลย
เปรียบเทียบสเปก iPad Air 5 กับ iPad Air 4 และ iPad Pro 11″
ข้อมูลนี้เราคัดมาเฉพาะจุดที่แตกต่างกันเท่านั้น, ข้อมูลหลักมาจากเว็บไซต์ Apple
iPad Air 4 |
iPad Air 5 |
iPad Pro 11” |
|
หน้าจอ | Liquid Retina ขนาด 10.9″ | Liquid Retina ขนาด 10.9″ | Liquid Retina ขนาด 11″
หน้าจอ ProMotion |
ความละเอียด | 2360 x 1640px ที่ 264 ppi | 2360 x 1640px ที่ 264 ppi | 2388 x 1668px ที่ 264 ppi |
ความสว่างจอ | ความสว่าง สูงสุด 500 นิต ขอบเขตสีกว้าง (P3)แสดงผลแบบ True Tone |
ความสว่าง สูงสุด 500 นิตขอบเขตสีกว้าง (P3) แสดงผลแบบ True Tone |
ความสว่าง สูงสุด 600 นิต ขอบเขตสีกว้าง (P3)แสดงผลแบบ True Tone |
ชิปประมวลผล | A14 Bionic | M1 | M1 |
RAM | 4GB | 8GB | 8GB / 16GB |
ความจุ | 64GB, 256GB | 64GB, 256GB | 128GB, 256GB, 512GB, 1TB, 2TB |
กล้องหน้า | FaceTime HD 7MP (ƒ/2.2) | Ultra-Wide 12MP (ƒ/2.4)
รองรับฟีเจอร์ Center Stage |
TrueDepth พร้อม Ultra-Wide 12MP (ƒ/2.4) รองรับฟีเจอร์ Center Stage |
กล้องหลัง | กล้อง Wide 12MP (ƒ/1.8) ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า |
กล้อง Wide 12MP (ƒ/1.8) ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า |
กล้อง Wide 12MP (ƒ/1.8) กล้อง Ultra-Wide 10MP (ƒ/2.4)ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า, ออปติคัล 2 เท่าแฟลช True Tone สว่างขึ้น |
ยืนยันตัวตน | Touch ID ที่ปุ่มด้านบน | Touch ID ที่ปุ่มด้านบน | Face ID จดจำใบหน้า |
พอร์ต | USB-C | USB-C | USB-C พอร์ต Thunderbolt / USB 4 |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 6 | 5G (sub-6 GHz) Wi-Fi 6 |
5G (sub-6 GHz) Wi-Fi 6 |
สี | เทาสเปซเกรย์, เงิน, โรสโกลด์, สกายบลู, เขียว | เทาสเปซเกรย์, สตาร์ไลท์, ชมพู, ม่วง, ฟ้า | เทาสเปซเกรย์, เงิน |
ราคา (เริ่มต้น) | Wi-Fi ฿19,900 Wi-Fi + Cellular ฿24,400 |
Wi-Fi ฿20,900 Wi-Fi + Cellular ฿25,900 |
Wi-Fi ฿27,900 Wi-Fi + Cellular ฿32,900 |
การเปิดตัว
สำหรับการเปิดตัวของ iPad ทั้ง 3 นั้นไล่เรียงจาก iPad Air 4 ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2020 ตามมาด้วย iPad Pro ชิป M1 ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ปี 2021 ทั้งขนาด 11” และ 12.9” และรุ่นล่าสุด ก็คือ iPad Air 5 ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2022 ในงาน Apple Event “Peek Performance”
ชิปประมวลผล
ความจุและ RAM
จอภาพ
- iPad Air 5 :
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9″
- ความละเอียด 2360 x 1640 ที่ 264 ppi
- ความสว่าง SDR: สูงสุด 500 นิต
- จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3)
- การแสดงผลแบบ True Tone
- iPad Pro 11″ :
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 11″
- ความละเอียด 2388 x 1668 ที่ 264 ppi
- ความสว่าง SDR: สูงสุด 600 นิต
- หน้าจอ ProMotion 120 Hz
- จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3)
- การแสดงผลแบบ True Tone
- iPad Air 4 :
- จอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9″
- ความละเอียด 2360 x 1640 ที่ 264 ppi
- ความสว่าง SDR: สูงสุด 500 นิต
- จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3)
- การแสดงผลแบบ True Tone
จะเห็นได้ว่าจุดที่แตกต่างกันของ iPad Air 4, iPad Air 5 และ iPad Pro M1 ก็คือ หน้าจอ ProMotion 120 Hz นั่นเอง ซึ่งทีมงานได้ลองเล่นเกมที่มีกราฟฟิกหนัก ๆ กับ iPad ทั้ง 3 รุ่น แล้วเอามาเปรียบเทียบกันนั้น พบว่ามีความแตกต่างค่อนข้างชัดเจน ในเรื่องความลื่นไหลของหน้าจอเวลาที่เล่น ซึ่งเป็นเพราะ iPad Pro มีหน้าจอ ProMotion 120 Hz ซึ่งมีแค่เฉพาะรุ่นโปรเท่านั้น
กล้องหน้า
- iPad Air 5 :
- กล้อง Ultra-Wide 12MP (ƒ/2.4)
- รองรับฟีเจอร์ Center Stage
- บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 25 fps, 30 fps, หรือ 60 fps
- iPad Pro 11″ :
- กล้อง TrueDepth พร้อม Ultra-Wide 12MP (ƒ/2.4)
- รองรับฟีเจอร์ Center Stage
- โหมดภาพถ่ายบุคคล
- บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 25 fps, 30 fps, หรือ 60 fps
- รองรับ Animoji และ Memoji
- iPad Air 4 :
- กล้อง FaceTime HD 7MP (ƒ/2.2)
- บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p
กล้องหลัง
- iPad Air 5 :
- กล้อง Wide 12MP (ƒ/1.8)
- ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า
- iPad Pro 11″ :
- กล้อง Wide 12MP (ƒ/1.8)
- กล้อง Ultra-Wide 10MP (ƒ/2.4)
- ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า
- ซูมแบบออปติคัล 2 เท่า
- แฟลช True Tone ที่สว่างยิ่งขึ้น
- iPad Air 4 :
- กล้อง Wide 12MP (ƒ/1.8)
- ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า
วิดีโอและการถ่ายภาพ
- iPad Air 5 :
- บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- บันทึกวิดีโอระดับ HD ที่ 1080p ที่ 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 fps
- ซูมวิดีโอ 3 เท่า
- iPad Pro 11″ :
- บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- บันทึกวิดีโอระดับ HD ที่ 1080p ที่ 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- ช่วงไดนามิกกว้างขึ้นสำหรับวิดีโอที่มีอัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 fps
- ซูมดิจิทัลสูงสุด 5 เท่า
- ซูมแบบออปติคัล 2 เท่า
- บันทึกเสียงสเตอริโอ
- iPad Air 4 :
- บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps
- บันทึกวิดีโอระดับ HD ที่ 1080p ที่ 60 fps
- ซูมวิดีโอ 3 เท่า
นอกจากนี้จุดเด่นสำคัญที่ทำให้เห็นความต่างของ iPad Pro ก็คือ การมาพร้อมกับ สแกนเนอร์ LiDAR ที่จะช่วยเรื่องการสแกน หรือการวัดค่าต่าง ๆ อย่างการวัดความกว้าง ความยาว ความสูง ที่สายงานด้านวิศวกรอาจจำเป็นต้องใช้บ่อย ซึ่งใน iPad Pro นั้นสามารถทำสิ่งนี้ได้ เพราะมีสแกนเนอร์ LiDAR นั่นเอง นับเป็นจุดเด่น และข้อแตกต่างสำคัญที่มีอยู่ใน iPad Pro
พอร์ตการเชื่อมต่อ
สำหรับ iPad Air 4 พอร์ตการเชื่อมต่อจะเป็นพอร์ต USB-C ที่มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 5Gbps และใน iPad Air 5 พอร์ตการเชื่อมต่อจะเป็นพอร์ต USB-C 3.1 รุ่นที่ 2 ที่มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 10Gbps ซึ่งสามารถรองรับการส่งภาพไปหน้าจอเสริมที่ความละเอียดสูงสุดได้ถึง 6K
และสำหรับพอร์ตการเชื่อมต่อของ iPad Pro M1 จะเป็นพอร์ต Thunderbolt USB-C 4 ที่มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดอยู่ที่ 40Gbps และสามารถรองรับการส่งภาพไปหน้าจอเสริมได้เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ iPad Pro M1 เพราะจะช่วยตอบโจทย์เวลาที่ต้องโอนย้ายข้อมูล หรือการนำไฟล์งานต่าง ๆ import เข้ามาใน iPad Pro ก็จะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เสียง
- iPad Air 5 : ระบบเสียง 2 ลำโพงในโหมดแนวนอน
- iPad Pro 11″ : ระบบเสียง 2 ลำโพงในโหมดแนวนอน
- iPad Air 4 : ระบบเสียง 4 ลำโพง
การยืนยันตัวตน
- iPad Air 5 : Touch ID ที่ปุ่มด้านบน
- iPad Pro 11″ : Face ID ใช้งานด้วยกล้อง TrueDepth จดจำใบหน้า
- iPad Air 4 : Touch ID ที่ปุ่มด้านบน
ระบบเซลลูลาร์และระบบไร้สาย
- iPad Air 5 :
- Wi‑Fi 6 (802.11a/b/g/n/ac/ax), 2.4GHz และ 5GHz, ความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps
- รองรับ 5G (sub-6 GHz)
- Gigabit LTE (สูงสุด 32 ย่านความถี่)
- iPad Pro 11″ :
- Wi‑Fi 6 (802.11a/b/g/n/ac/ax), 2.4GHz และ 5GHz, ความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps
- รองรับ 5G (sub-6 GHz)
- Gigabit LTE (สูงสุด 32 ย่านความถี่)
- iPad Air 4 :
- Wi‑Fi 6 (802.11a/b/g/n/ac/ax), 2.4GHz และ 5GHz, ความเร็วสูงสุด 1.2 Gbps
- LTE ระดับ Gigabit (สูงสุด 30 ย่านความถี่)
สิ่งที่แตกต่างกันของ iPad ทั้ง 3 รุ่นนี้ ก็คือ ในรุ่นเซลลูลาร์ของ iPad Air 5 และ iPad Pro M1 จะรองรับสัญญาณ 5G ส่วนรุ่นเซลลูลาร์ใน iPad Air 4 ยังไม่รองรับ 5G นั่นเอง
การรองรับอุปกรณ์เสริม
iPad Air 5, iPad Air 4 และ iPad Pro 11″ รองรับ Magic Keyboard Smart, Keyboard Folio Apple และ Pencil 2 เหมือนกันทั้ง 3 รุ่น
สี
- iPad Air 5 : มาพร้อม 5 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์, สีสตาร์ไลท์, สีชมพู, สีม่วง และ สีฟ้า
- iPad Pro 11″ : มาพร้อม 2 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ และ สีเงิน
- iPad Air 4 : มาพร้อม 5 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์, สีเงิน, สีโรสโกลด์, สีสกายบลู และ สีเขียว
ราคาเริ่มต้น
- iPad Air 5 :
- รุ่น Wi‑Fi ราคาเริ่มต้นที่ 20,900 บาท
- รุ่น Wi‑Fi + Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท
- iPad Pro 11″ :
- รุ่น Wi‑Fi ราคาเริ่มต้นที่ 27,900 บาท
- รุ่น Wi‑Fi + Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท
- iPad Air 4 :
- รุ่น Wi‑Fi ราคาเริ่มต้นที่ 19,900 บาท
- รุ่น Wi‑Fi + Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 24,400 บาท
จะเห็นได้ว่าราคาของ iPad ทั้ง 3 รุ่นแตกต่างกันพอสมควร หากลองเปรียบเทียบระหว่าง iPad Air 4 กับ iPad Air 5 นั้นเพิ่มเงินอีกแค่ประมาณ 1000 บาท ก็จะได้ชิประมวลผลที่เร็วขึ้น อย่างชิป M1 ได้ RAM เพิ่มขึ้น กล้องหน้าอัปเกรดใหม่ พร้อมการรองรับฟีเจอร์ Center Stage ด้วย เรียกได้ว่า iPad Air 5 ที่พึ่งเปิดตัวมาล่าสุดนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ
แต่ถ้าลองขยับขึ้นมาเปรียบเทียบ iPad Air 5 กับ iPad Pro M1 เมื่อลองเปรียบเทียบ iPad Air 5 ความจุ 256GB จะมีราคาอยู่ที่ 25,900 บาท เทียบกับ iPad Pro ความจุ 128GB จะมีราคาอยู่ที่ 27,900 บาท จะเห็นได้ว่าราคาจะต่างกันประมาณ 2000 บาท สำหรับใครที่มีทุนทรัพย์เพียงพอ ก็แนะนำให้อัปเป็นรุ่นโปร ก็จะได้ประสิทธิภาพของ iPad Pro M1 ไปแบบเต็ม ๆ เลย
แต่ถ้าใครที่คิดว่า ความจุ 128GB ใน iPad Pro เมื่อเทียบกับการใช้งานของตัวเองแล้วอาจจะไม่เพียงพอ ทีมงานก็แนะนำว่าให้ลองไปพิจารณากันดูในเรื่องของความจุ สเปค และราคา สำหรับ iPad Air 5 และ iPad Pro M1 ว่ารุ่นไหนจะตอบโจทย์เรามากที่สุด เพราะอย่าลืมว่า iPad เมื่อซึ้อมาแล้วได้ใช้งานยาว ๆ แน่นอน
ข้อมูลจาก : https://apple.co/3tHydrZ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ iPad Air 5 ใหม่ ติดตามได้ที่นี่ : https://bit.ly/3Mysrl3