iPad รุ่นที่ 10 วางขายหน้าร้านแล้ว ราคาเริ่มต้น 17,900 บาท แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นแต่ก็มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่หมด! กล้องหน้าแนวนอนแบบใหม่ หน้าจอก็ที่ถูกอัปเกรดขึ้นด้วย ไปชมรีวิวกันเลย
รีวิว iPad รุ่นที่ 10 ดีไซน์หน้าจอแบบใหม่หมด จดก็ได้ พิมพ์ก็ดี!
iPad รุ่นที่ 10 เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2022 ผ่านหน้าเว็บไซต์ของ Apple ไม่ได้เปิดตัวในงานอีเว้นท์เหมือน iPad รุ่นอื่น ๆ แต่ไฮไลท์ของ iPad รุ่นนี้ก็คือเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นที่มาพร้อมกับดีไซน์แบบใหม่หมด กล้องหน้าเปลี่ยนไปอยู่แนวนอนเป็นครั้งแรกของ iPad และยังมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมที่ทำงานคู่กันได้ดีอีกด้วย
ไฮไลท์เด่น
- ดีไซน์ใหม่ จอเต็มขอบ ไร้ปุ่มโฮม
- จอ Liquid Retina ขนาด 10.9″
- ชิป A14 Bionic
- CPU 8-core ที่ทำงานได้มากขึ้น 20%
- Nueral Engine 16-core ทำงานเร็วขึ้น 80%
- จอภาพสี True-Tone
- กล้องหน้าแนวนอนครั้งแรกของ iPad
- กล้องหน้า Ultra Wide 12MP
- รองรับฟีเจอร์ Center Stage
- กล้องหลังความละเอียด 12MP
- พอร์ต USB-C
- รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 (ต้องซื้อหัวแปลงเพิ่ม ฿390)
- รองรับ Magic Keyboard Folio
- มี 2 ความจุ คือ 64GB และ 256GB
- มี 4 สี ได้แก่ สีฟ้า, สีชมพู, สีเหลือง, สีเงิน
สิ่งที่มีมาให้ในกล่อง iPad รุ่นที่ 10
- ตัวเครื่อง iPad รุ่นที่ 10
- สายชาร์จ USB-C to USB-C ยาว 1 เมตร
- อะแดปเตอร์ USB-C ขนาด 20 วัตต์
- คู่มือการใช้งาน
ดีไซน์ใหม่หมดใน iPad รุ่นที่ 10
iPad รุ่นที่ 10 ถือเป็น iPad เริ่มต้นรุ่นแรกที่ปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมดไปเป็นดีไซน์แบบขอบเหลี่ยม ย้าย Touch ID มาไว้ที่ปุ่ม Power ด้านบน และเป็นครั้งแรกของ iPad ที่ย้ายกล้องหน้ามาไว้แนวนอนด้วย และพอร์ตการเชื่อมต่อก็เปลี่ยนไปใช้พอร์ต USB-C ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าดีไซน์ของ iPad รุ่นที่ 10 แตกต่างจาก iPad รุ่นที่ 9 ทั้งหมด เพราะ iPad รุ่นที่ 10 เปลี่ยนไปใช้ดีไซน์แบบใหม่เหมือนกับ iPad mini 6, iPad Air 5 และ iPad Pro ส่วน iPad รุ่นที่ 9 ยังคงใช้ดีไซน์เดิม
หากดูโดยรวมแล้ว ดีไซน์ของ iPad รุ่นที่ 10 นั้นแทบจะเหมือนกับ iPad Air 5 เลย แตกต่างกันตรงที่ไม่มีแถบแม่เหล็กด้านข้างเครื่องเอาไว้เชื่อมต่อ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เหมือนกับ iPad Air 5 นั่นเอง อาจเป็นเพราะการย้ายกล้องหน้าจากแนวตั้งมาไว้แนวนอน จึงทำให้ iPad Gen 10 ยังไม่รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนไปใช้ดีไซน์ใหม่แล้วก็ตาม
Touch ID ย้ายมาไว้ที่ปุ่ม Power ด้านบน ส่วนปุ่มด้านข้าง และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง อยู่ด้านข้างเครื่องเหมือนเดิม
สำหรับ iPad รุ่นที่ 10 ดีไซน์ออกมาในโทนสีสันสดใส ซึ่งมีให้เลือก 4 สีด้วยกัน ได้แก่ สีฟ้า, สีชมพู, สีเหลือง, สีเงิน
จอภาพก็อัปเกรดใหม่ด้วย
iPad รุ่นที่ 10 อัปเกรดหน้าจอใหม่เป็นแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9″ ความละเอียด 2360 x 1640 ที่ 264 ppi ความสว่างสูงสุด 500 นิต ช่วยให้มองเห็นคอนเทนต์ได้มีสีสันสวยงามมากขึ้น
มาพร้อมการแสดงผลแบบ True Tone ซึ่งเป็นโหมดการปรับสีของจอภาพให้เข้ากับสภาวะแสงรอบนอกโดยอัตโนมัติ โดยสีของจอภาพจะเป็นโทนอุ่นมากขึ้น เพื่อถนอมสายตาของผู้ใช้งาน แต่ถ้าหากเราไม่ชอบก็สามารถเข้าไปปิดการใช้งานได้
ประสิทธิภาพการใช้งานเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ชิป A14 Bionic เป็นชิปตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 12 Series
- RAM ให้มา 4GB เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าที่ใช้ RAM 3GB
- CPU 8-core มีประสิทธิภาพมากขึ้น 20%
- GPU 4-core
- Neural Engine 16-core เร็วขึ้น 80% เมื่อเทียบรุ่นก่อนหน้า
จดโน๊ต/วาดรูป ลื่นไหลมากขึ้น
การวาดรูปหรือจดโน๊ตบน iPad รุ่นที่ 10 ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความหน่วงเวลาลากเส้นปากกาลดลง อาจเป็นเพราะหน้าจอที่ได้รับการอัปเกรด สีสันแสดงได้คมชัดมากขึ้น รวมถึงชิปที่ได้รับการอัปเกรดใหม่ก็มีส่วนช่วยให้เราสามารถวาดเขียน หรือจดโน๊ดบน iPad รุ่นที่ 10 ได้ลื่นไหลมากขึ้นด้วย
กล้องอัปเกรดทั้งคู่
กล้องหน้าแนวนอนแบบใหม่!
กล้องหน้า iPad รุ่นที่ 10 ไม่ได้มีการอัปเกรดเพิ่มและยังคงใช้เลนส์ Ultra Wide 12MP (ƒ/2.4) เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือตำแหน่งของกล้องหน้าย้ายจากแนวตั้งมาไว้แนวนอน และใส่ฟีเจอร์ Center Stage มาให้ด้วย จึงทำให้เราสามารถใช้งานกล้องหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิดีโอคอล ประชุมงาน หรือพรีเซ้นต์งานหลายคนก็ช่วยแก้ปัญหาคนตกเฟรมได้ดีขึ้นด้วย
กล้องหน้าสามารถบันทึกวิดีโอระดับ HD ที่ความละเอียด 1080p ได้ที่ 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps
กล้องหลังถ่ายได้ชัดกว่าเดิม
กล้องหลัง iPad รุ่นที่ 10 อัปเกรดไปใช้เลนส์ Wide 12MP (ƒ/1.8) มี Smart HDR 3 สำหรับภาพถ่ายทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีคุณภาพดีมากขึ้น
และอีกหนึ่งสื่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iPad รุ่นที่ 10 ก็คือรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K ได้แล้ว เรียกได้ว่าประสิทธิภาพกล้องหลังเทียบเท่า iPad Air 5 เลย ใครที่ซื้อ iPad รุ่นที่ 10 มาใช้งานถือว่าคุ้มกับราคาที่จ่ายไปแน่นอน
เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C แล้ว
iPad รุ่นที่ 10 มาพร้อมกับพอร์ต USB-C ซึ่งเป็นพอร์ต USB 2.0 ที่มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 480 Mbps ซึ่งความเร็วการถ่ายโอนข้อมูลนั้นเท่ากับ iPad รุ่นที่ 9 นั่นหมายความว่า ถึงแม้ iPad รุ่นที่ 10 จะเปลี่ยนไปใช้พอร์ต USB-C แล้ว แต่ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลก็ยังน้อยกว่า iPad รุ่นอื่นที่มีพอร์ต USB-C เหมือนกัน
นอกจากความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูลด้วยพอร์ต USB-C ที่ทำได้สะดวกมากขึ้นแล้ว iPad รุ่นที่ 10 ก็ยังสามารถเชื่อมต่อจอเสริมให้เราสามารถดูข้อมูล iPad ผ่านหน้าจอเสริมได้ด้วย
และถ้าหากว่าใครที่มีสายแลนสำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ที่บ้าน ก็สามารถใช้ Hub เพื่อเชื่อมต่อกับสายแลนแล้วเอามาเชื่อมต่อกับ iPad รุ่นที่ 10 เพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ด้วย
ระบบเสียงแบบใหม่
ด้วยความที่ iPad รุ่นที่ 10 เปลี่ยนไปใช้ดีไซน์ใหม่ Apple จึงอัปเกรดลำโพงมาให้เป็นระบบเสียง 2 ลำโพงแบบแนวนอน ที่ด้านบน 1 ตัว และด้านล่าง 1 ตัว ทำให้เวลาที่เราดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมก็จะได้ยินเสียงออกมาจากลำโพงทั้งสองด้าน ทำให้มีอารมณ์ร่วมและเพลิดเพลินไปกับคอนเทนต์ที่กำลังดูอยู่ได้มากขึ้น
อุปกรณ์เสริมแบบจัดเต็ม
Apple Pencil รุ่นที่ 1
iPad รุ่นที่ 10 รุ่นใหม่นี้แม้ว่าจะเป็นดีไซน์ใหม่ แต่ก็ยังรองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 1 เหมือนเดิม อาจจะด้วยดีไซน์ของตัวเครื่องที่ย้ายกล้องหน้ามาไว้แนวนอนจึงทำให้ไม่มีแถบแม่เเหล็กสำหรับเชื่อมต่อ Apple Pencil รุ่นที่ 2 รวมถึงการที่ iPad รุ่นที่ 10 ยังเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นอยู่ ถ้าหากขยับไปใช้ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ก็อาจจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงอาจไม่ใช่คอนเซปต์ของ iPad รุ่นเริ่มต้นตามที่ Apple ตั้งใจวางไว้นั่นเอง
อะแดปเตอร์แปลง USB-C
แน่นอนว่าการที่ iPad รุ่นที่ 10 รองรับแค่ Apple Pencil รุ่นที่ 1 แต่พอร์ตเป็น USB-C ดังนั้น Apple จึงผลิตหัวแปลง USB-C ออกมาเพื่อเชื่อมต่อและชาร์จแบต Apple Pencil กับ iPad รุ่นที่ 10 เพิ่มเติมเข้ามา
โดยวิธีการใช้งาน คือ ให้เราเสียบ Apple Pencil รุ่นที่ 1 เข้ากับหัวแปลง USB-C แล้วเอาสายชาร์จ USB-C to USB-C เสียบเข้าไปอีกข้างหนึ่งของหัวแปลง จากนั้นเอาปลายสาย USB-C อีกข้างไปเสียบที่ iPad เท่านี้ก็เป็นการเชื่อมต่อและชาร์จแบต Apple Pencil รุ่นที่ 1 แล้ว
Magic Keyboard Folio
Magic Keyboard Folio เป็นอุปกรณ์เสริมรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับ iPad รุ่นที่ 10 โดยเฉพาะ โดยตัวคีย์บอร์ดจะเป็นแบบแยกชิ้นส่วน ได้แก่ ตัวฝาหลังที่ติดกับเครื่อง iPad จะเป็นแม่เหล็กสำหรับยึดติดกับตัวเครื่อง และสามารถปรับระดับองศาตามความต้องการได้
และตัว Magic Keyboard ที่เชื่อมต่อกับตัวเครื่อง iPad รุ่นที่ 10 ด้วย Smart Connector ไม่ได้เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ สามารถพกไปทำงานที่ไหนก็ได้ รวมถึงมีปุ่มฟังก์ชันมาให้เหมือนกับคีย์บอร์ดบนเครื่อง Mac เลย สะดวกต่อการใช้งานมากๆ ใครที่ทำงานเอกสารบน iPad บ่อย ๆ ตอบโจทย์แน่นอน
เคส Smart Folio
เคส Smart Folio สำหรับ iPad รุ่นที่ 10 ถูกออกแบบมาให้รับกับตัวเครื่องโดยเฉพาะ สามารถตั้งวางดูคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้ในระดับพอดีสายตา น้ำหนักเบา พกพาง่าย
iPad (รุ่นที่ 10) กับ iPadOS 16.1
iPad (รุ่นที่ 10) มาพร้อมกับชิปประมวลผล A14 Bionic และมี Neural Engine 16-core จึงทำให้ตัวเครื่องใช้งานได้เร็วและลื่นไหลมากขึ้น ทำให้เราสามารถใช้ iPadOS 16 ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีฟีเจอร์เด่น ๆ ดังนี้
1. Scibble ภาษาไทย
2. แอปสภาพอากาศที่เพิ่มเข้ามาใหม่
3. Virtual Lookup แยกวัตถุออกจากภาพได้
4. Live Text ในวิดีโอ
5. แอป Freeform ที่มาใหม่
6. ล็อคโน้ตด้วยรหัสผ่าน
7. ปรับลายมือให้ตรงขึ้น
8. เครื่องมือใหม่ในแอป Note
9. ใช้ SharePlay ผ่านแอปข้อความ
10. แก้ไขข้อความในแอปข้อความได้
11. ยกเลิกการส่งข้อความ
ข้อสรุปทำไม iPad รุ่นที่ 10 ถึงน่าซื้อ
ความรู้สึกผู้เขียนหลังจากที่ได้ทดลองใช้งานจริงรู้สึกว่า iPad รุ่นที่ 10 ทำงานได้รวดเร็วและลื่นไหลมากขึ้น เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสัมผัสหน้าจอ ประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น การตัดต่อวิดีโอ การทำกราฟิก วาดรูป จดเขียนโน้ตต่าง ๆ ก็รู้สึกว่าลื่นไหลมากกว่ารุ่นเดิม
จุดที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม
สำหรับใครที่มี Apple Pencil รุ่นที่ 1 อยู่แล้วก็จะต้องซื้ออะแดปเตอร์ USB-C เพิ่ม เพื่อเชื่อมต่อและชาร์จแบต รวมถึงเวลาใช้งานหรือพก iPad ออกไปทำงานข้างนอกก็จะต้องพกอะแดปเตอร์ USB-C ไปด้วย
iPad รุ่นที่ 10 เหมาะกับใคร?
iPad รุ่นที่ 10 ยังถือว่าอยู่ในกลุ่ม iPad ที่เป็นรุ่นระดับเริ่มต้นอยู่ เพียงแค่ปรับไปใช้ดีไซน์ใหม่ ดังนั้นใครที่กำลังใช้งาน iPad รุ่นที่ 7, 8, 9 อยู่แล้วยังไม่อยากข้ามไปใช้ iPad รุ่นอื่นๆ อย่าง iPad Air หรือ iPad Pro ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของสเปกการใช้งาน หรือเรื่องราคา การเปลี่ยนมาใช้ iPad รุ่นที่ 10 ก็ถือว่ายังคุ้มค่า เพราะได้ใช้ดีไซน์ใหม่ รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานก็สามารถทำได้ดีกว่าด้วยเมื่อเทียบกับ iPad เริ่มต้นรุ่นก่อนหน้า
สำหรับคนที่ชอบใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 2 อาจจะต้องพิจารณาเพิ่ม เพราะ iPad รุ่นที่ 10 รองรับแค่เฉพาะ Apple pencil รุ่นที่ 1 ดังนั้นใครที่ชอบใช้งาน Apple pencil รุ่นที่ 2 รวมถึงต้องการสเปกการใช้งานในระดับโปร ก็อาจต้องขยับไปใช้ iPad Air หรือว่า iPad Pro แทน
แต่ถ้ามาดูกันในเรื่องของดีไซน์แบบใหม่ใน iPad รุ่นที่ 10 นั้น ก็ถือเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นที่มีราคาถูกที่สุดในหมวดของ iPad ดีไซน์ใหม่ ถ้าอยากซื้อในราคาที่ย่อมเยาลงมา iPad รุ่นที่ 10 ก็ถือว่าตอบโจทย์ไม่แพ้กัน
ซื้อ iPad รุ่นที่ 10 ได้ที่ไหนบ้าง?
- Apple Store Online ประเทศไทย
- Apple Iconsiam, Apple Central World กรุงเทพฯ
- ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ทั้งช่องทางออนไลน์หรือสาขาใกล้บ้าน เช่น Studio 7, BaNANA
ราคาและรุ่นที่วางจำหน่าย
- iPad รุ่นที่ 10 รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB ราคา 17,900 บาท
- iPad รุ่นที่ 10 รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 23,900 บาท
- iPad รุ่นที่ 10 รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 23,900 บาท
- iPad รุ่นที่ 10 รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
ชมคลิปรีวิวฉบับเต็มของ iPad รุ่นที่ 10 ได้ที่นี่