7 ก.ย. 65, Apple ได้เปิดตัว iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ในงาน Apple Event “Far Out” ดีไซน์เดิม ชิปตัวแรง อัปเกรดกล้องโดยรวมดีขึ้นสองเท่า โหมดวิดีโอใหม่ สีใหม่สวยสะดุดตา แบตอึดขึ้น จะมีอะไรบ้างมาดูสรุปกันได้เลย
สรุปเปิดตัว iPhone 14, iPhone 14 Plus
ไฮไลท์
- ดีไซน์เดิมเหมือน iPhone 13 หน้าจอยังมีรอยบาก
- กล้อง 2 ตัวหลังจัดวางแบบแนวทะแยงเหมือนเดิม
- มาให้เลือก 5 สี ได้แก่ สตาร์ไลท์ มิดไนท์ แดง PRODUCT(RED) ฟ้า(สีใหม่) ม่วง(สีใหม่)
- iPhone 14 หน้าจอ 6.1″ / iPhone 14 Max หน้าจอ 6.7″
- กระจกหน้าจอ Ceramic Shield เหมือนเดิม
- ใช้ชิป A15 Bionic ตัวแรงแบบเดียวกันกับ iPhone 13 Pro
- กล้องหลัก 12MP เซนเซอร์ใหม่ที่ดียิ่งขึ้น
- การถ่ายภาพโดยรวมเก็บรายละเอียดภาพได้ดีขึ้น ถ่านยภายในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น 38%
- กล้องหน้า 12MP แบบ True Dept ถ่ายที่แสงน้อยดีขึ้น 2 เท่า
- กล้องหน้ามาพร้อมโหมด Auto Focus
- การถ่ายวิดีโอที่กล้องหลัง มีโหมดใหม่ “Action Mode” สามารถถ่ายวีดีโอได้นิ่งขึ้น ลื่นไหลขึ้น ทำงานร่วมกับระบบกันสั่น
- Cinematic Mode บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps ได้แล้ว
- การเชื่อมต่อ รองรับ 5G และ eSIM (ไม่มีถาดใส่ซิม เฉพาะ US Model)
- ฟีเจอร์ Crash Detection ตรวจจับรถชนหากเกิดอุบัติเหตุ จะโทรหาเบอร์ฉุกเฉินให้
- รองรับการสื่อสารผ่านดาวเทียม SoS via Sattelite ขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียม
- แบตเตอรี่ใช้ได้นานขึ้น
- ความจุเท่าเดิม
iPhone 14 ดีไซน์สวยงาม ทนทาน แบตเตอรี่ใช้งานได้นานอย่างน่าทึ่ง
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มาในดีไซน์เดิม ตัวเครื่องมาใน 5 สีสัน โดยมีจอให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 6.1″ ยอดนิยม และขนาด 6.7″ จอภาพที่ใหญ่ขึ้นของ iPhone 14 Plus เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสตรีมภาพยนตร์และเล่นเกมเต็มตา
iPhone 14 Plus มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone แถมยังจัดการความร้อนได้ดีขึ้นด้วย iPhone 14 Plus มีแบตเตอรี่ใช้ได้นานสูงสุด 26 ชั่วโมง ส่วน iPhone 14 แบตเตอรี่ใช้ได้นานสุด 20 ชั่วโมง
หน้าจอยังคงเป็นจอภาพ Super Retina XDR ที่สวยสะดุดตา ที่เป็นจอ OLED รองรับความสว่างสำหรับคอนเทนต์แบบ HDR สูงสุดถึง 1,200 นิต, อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 และ Dolby Vision
เรื่องคามทนทาน ยังคงใช้กระจกหน้าจอ Ceramic Shield ทนน้ำทนฝุ่นด้วยมาตรฐาน IP68 (ความลึกไม่เกิน 6 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที)
การอัปเกรดกล้องอันทรงพลังด้วย Photonic Engine
กล้องหลักของ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus เป็นกล้องความละเอียด 12MP ใหม่ ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้นและพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น
กล้องอัลตร้าไวด์ดีขึ้น 2 เท่า เก็บภาพในมุมที่กว้างยิ่งขึ้น
กล้องหน้า TrueDepth แบบใหม่ ดีขึ้น 2.5 เท่า มาพร้อมฟีเจอร์ Auto Focus
ด้วย Photonic Engine ที่มาใน iPhone 14 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในสภาวะแสงน้อย ถ่ายในที่มืดได้ดีกว่าเดิม! แสดงรายละเอียดได้อย่างครบครันน่าทึ่งพร้อมทั้งพื้นผิวที่มีความละเอียด ตลอดจนการแสดงสีสันที่ดียิ่งขึ้น และเก็บข้อมูลในภาพถ่ายได้มากขึ้นด้วย
Action Mode ในการถ่ายวิดีโอ ควบคุมการสั่นได้ดีขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเคลื่อนไหวแบบรวดเร็ว โหมดแอ็คชั่นก็จะช่วยทำให้วิดีโอดูสมูทมากขึ้น
การอัปเกรดและคุณสมบัติต่างๆ ของระบบกล้องคู่มีดังนี้
- กล้องหลักใหม่มาพร้อมรูรับแสงขนาด ƒ/1.5 ที่ใหญ่ขึ้น และพิกเซลขนาด 1.9 µm ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมสำหรับทั้งภาพถ่ายและวิดีโอในทุกสถานการณ์แสง เพื่อรายละเอียดที่ดีขึ้นและการหยุดการเคลื่อนไหวให้นิ่งสนิท นอยซ์ที่น้อยลง การเปิดรับแสงที่ไวขึ้น และยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลที่ใช้การปรับตำแหน่งเซ็นเซอร์ด้วย
- กล้องหน้า TrueDepth ใหม่ที่มีรูรับแสงขนาด ƒ/1.9 ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอในสภาวะแสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นครั้งแรกที่มีออโต้โฟกัส จึงสามารถโฟกัสได้เร็วยิ่งขึ้นในสภาวะแสงน้อยและถ่ายรูปหมู่ได้ในระยะที่ไกลออกไปกว่าเดิม
- โหมดแอ็คชั่นใหม่เพื่อวิดีโอที่ดูลื่นไหลเหลือเชื่อ ซึ่งจะปรับภาพให้สอดคล้องกับการส่ายไปมา การเคลื่อนไหว และการสั่นในระดับมากๆ แม้จะเป็นการถ่ายวิดีโอในจังหวะแอ็คชั่นก็ตาม
- กล้องอัลตร้าไวด์ นำเสนอมุมมองที่ไม่เหมือนใครสำหรับมุมองภาพที่กว้างขึ้น และการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยที่ดียิ่งขึ้นด้วย Photonic Engine
- แฟลช True Tone ที่ปรับปรุงใหม่สว่างขึ้น 10% และให้แสงแฟลชที่สม่ำเสมอขึ้น
- โหมดภาพยนตร์ที่ตอนนี้มีให้ใช้งานในระดับ 4K ที่ 30 fps และระดับ 4K ที่ 24 fps
- HDR แบบ Dolby Vision ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งมีเฉพาะบน iPhone
ฟีเจอร์ใหม่สุดว้าว! การตรวจจับการชนกันและ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
การตรวจจับการชนกัน
ด้วยอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวแบบ Dual-core ใหม่ที่สามารถตรวจวัดแรง g ได้สูงสุดถึง 256 พร้อมด้วยไจโรสโคปที่มีช่วงไดนามิกสูง จึงมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่าง “การตรวจจับการชนกัน” สามารถตรวจจับเหตุรถชนรุนแรงและโทรติดต่อบริการฉุกเฉินได้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้หมดสติหรือไม่สามารถหยิบ iPhone ได้
คุณสมบัติเหล่านี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยส่วนประกอบที่มีอยู่เดิม อย่างบารอมิเตอร์ซึ่งตอนนี้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในห้องโดยสาร และ GPS ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความเร็ว และไมโครโฟน ซึ่งสามารถตรวจจับเสียงดังที่มักเกิดขึ้นจากรถชนรุนแรงได้ด้วย และยังมีอัลกอริทึมการเคลื่อนไหวสุดล้ำที่ออกแบบโดย Apple ซึ่งพัฒนาขึ้นจากข้อมูลการขับขี่และการชนกันที่เกิดขึ้นจริงกว่า 1 ล้านชั่วโมง เพื่อให้มีความแม่นยำมากขึ้น
นอกจากนี้เมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Watch ก็จะช่วยให้ตรวจจับการชนได้ดีและรวดเร็วเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อย่างเช่น เมื่อตรวจพบเหตุรถชนรุนแรง อินเทอร์เฟซการโทรติดต่อบริการฉุกเฉินจะปรากฏบน Apple Watch เพราะมักเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวผู้ใช้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็จะใช้ iPhone ที่อาจอยู่ในระยะใกล้เคียงในการโทรออกเพื่อการเชื่อมต่อสัญญาณที่ดีที่สุด
SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม (ไทยยังไม่รองรับ)
ฟีเจอร์ “SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม” รองรับการรับส่งข้อความผ่านบริการฉุกเฉินเมื่ออยู่นอกพื้นที่ให้บริการเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi
ทั้งนี้ดาวเทียมเป็นอุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและมีแบนด์วิดท์ต่ำ ดังนั้นจึงอาจใช้เวลาหลายนาทีในการส่งข้อความ แต่เนื่องจากทุกวินาทีมีความสำคัญ ดังนั้นคุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจึงได้เตรียมคำถามสำคัญบางส่วนเอาไว้ใน iPhone ล่วงหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ของผู้ใช้
ระหว่างใช้งานมีการแสดงวิธีหัน iPhone ไปในทิศทางที่สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมได้ จากนั้นก็จะส่งต่อแบบสอบถามเบื้องต้นและข้อความติดตามผลไปยังศูนย์บริการที่มีผู้เชี่ยวชาญซึ่งผ่านการฝึกอบรมจาก Apple ที่สามารถโทรติดต่อขอความช่วยเหลือแทนผู้ใช้
ผู้ใช้ยังสามารถแชร์ตำแหน่งที่ตั้งได้เองผ่านดาวเทียมด้วยแอปค้นหาของฉัน (Find My) เมื่อไม่สามารถเชื่อมต่อเซลลูลาร์หรือ Wi-Fi
คุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมจะพร้อมให้บริการแก่ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในเดือนพฤศจิกายน และให้บริการฟรีเป็นเวลา 2 ปี
ชิป A15 Bionic ที่แรง!!
ชิป A15 Bionic ตัวแรงที่เคยอยู่ใน iPhone 13 Pro ถูกนำมาใส่ไว้ใน iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ซึ่งมี CPU แบบ 6-core ที่ลื่นไหล และ GPU 5-core ช่วยให้กราฟิกในแอปวิดีโอและการเล่นเกมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น Neural Engine แบบ 16-core เช่นเดิม
ชิป A15 Bionic ยังเป็นขุมพลังให้กับคุณสมบัติของกล้องที่น่าทึ่ง เช่น Photonic Engine และโหมดภาพยนตร์
5G และ eSIM
เชื่อมต่อรวดเร็วเช่นเดิมด้วย 5G แต่ว่า iPhone 14 และ iPhone 14 Plus รุ่นที่วางขายในสหรัฐอเมริกาจะเลิกใช้ถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนโมเดลที่ขายในประเทศอื่น ๆ ยังคงมีถาดใส่ซิมอยู่
ความจุเท่าเดิม เพิ่มเติมคือ 2 สีใหม่
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus มาพร้อมความจุ 128GB, 256GB และ 512GB เหมือนเดิม
และมีสีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีมิดไนท์, สีฟ้า(ใหม่), สีสตาร์ไลท์, สีม่วง(ใหม่) และสีแดง(PRODUCT)RED
ที่สำคัญประเทศไทยเป็นกลุ่มประเทศแรกที่จะได้วางขายพร้อมอเมริกา
ราคาและการจำหน่าย
ราคาจำหน่าย iPhone 14, iPhone 14 Max มีดังนี้
iPhone 14
- 128GB ราคา ฿32,900
- 256GB ราคา ฿36,900
- 512GB ราคา ฿45,900
iPhone 14 Plus
- 128GB ราคา ฿37,900
- 256GB ราคา ฿41,900
- 512GB ราคา ฿50,900
สำหรับวันจำหน่ายนั้น Apple จะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 9 กันยายน 65 นี้ และจะวางขายหน้าร้านในวันที่ 16 กันยายน 65 แต่ iPhone 14 Plus จะวางขายหน้าร้าน 7 ตุลาคม 65
ลิ้งก์สำหรับการสั่งซื้อที่ Apple Store Online ประเทศไทย
https://www.apple.com/th/shop/buy-iphone/iphone-14