in ,

iPhone 5 ดีไหม … อย่ามองแค่สเปคในกระดาษ (หรือฟังเขามา) !!!

ก่อนหน้านี้ผมได้เขียนบทความนึง อย่าซื้อ !!! iPhone 5 ถ้าคุณ … ซึ่งสรุปสั้น ๆ ก็คือความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อเสีย และความไม่คุ้มค่าของ iPhone 5 ซึ่งผมพยายามจะสื่อให้เห็นในหลาย ๆ ด้าน แน่นอนว่ามีจุดด้อยก็ต้องมีจุดเด่น ซึ่งจุดเด่นของคนหนึ่ง อาจจะเป็นจุดด้อยของอีกคนหนึ่งก็ได้ งานนี้ร้อยความคิดเห็นร้อยไอเดีย เพราะทุกคนมีความต้องการและอำนาจซื้อไม่เท่ากัน แต่ถ้าหากให้พูดแบบเป็นกลางแล้วผมขอพูดตรง ๆ เลยว่า “iPhone 5 ดีนะ แต่ไม่ดีสำหรับทุกคน” ส่วนข้อดีจะมีอะไรบ้างเราลองมาดูกัน ที่เหลือคุณก็แค่ชั่งน้ำหนักเองว่าตอบโจทย์กับการใช้งานของคุณไหม เท่านั้นเอง …

ผมจะไม่พยายามยัดเรื่องเทียบสเปค หรือข้อมูลตัวเลขอะไรเยอะ ๆ ใส่หัวคนอ่านมากนะครับ เช่นพวก CPU ใช้ล็อตไหน รหัสอะไร กระบวนการผลิตกี่นาโนเมตร ซึ่งมันดู Nerd และไม่ค่อยใช้สมองเอาซักเท่าไหร่เลย (เชื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นผู้อ่านน่าจะทราบจากเว็บไซต์ Apple.com อยู่แล้ว) เอาเป็นเวลาผมจะไล่ ๆ เล่าเป็นข้อ ๆ เหมือนการเล่าเรื่องจาก “เพื่อนสู่เพื่อน” เอาก็แล้วกัน

BRITAIN/

ซื้อ iPhone 5 แล้วได้อะไรบ้าง?

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักมันก่อน ว่าซื้อแล้วได้อะไรบ้าง? คุ้มค่าที่จะเปลี่ยนหรือว่าซื้อใหม่หรือไม่ ผมสมมุติให้มันราคาอยู่ที่ 22,450 บาท ก็แล้วกัน (เป็นราคา 16GB เพราะคนใช้เยอะสุด) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นราคาจริงอาจสูงหรือต่ำกว่าเล็กน้อยนะ เพราะราคาจริงยังไม่ออก (ที่เห็น ๆ กันของ Dtac นั้นมั่วทั้งนั้น) จากข้อมูล ณ วันที่ 12/10/55

หูฟัง Earpod (มูลค่า 1,090 บาท)

สุดยอดของหูฟังจาก Apple ที่ใช้เวลาพัฒนาถึง 3 ปี จากการสอบถามจากผู้ใช้กว่า 600 คน และทดสอบการใช้งาน จริงกว่า 100 คน เพื่อให้ได้หูฟังแบบใหม่ที่สามารถใส่ได้นานโดยไม่เจ็บหู นอกจากดีไซน์มันจะน่าค้นหาแล้ว เสียงมันยังออกมาดีกว่าหูฟังรุ่นเดิมของ Apple ราวฟ้ากับเหวอีกด้วย ดังนั้นหากคุณชื่นชอบหูฟัง Earpod และต้องการจะไปซื้อมาใช้ล่ะก็ คุณต้องจ่ายถึง 1,090 บาท แต่มันถูกแถมกับ iPhone 5 ฟรี ดังนั้นก็ลองชั่งน้ำหนักดูครับ

สาย Lightning (มูลค่า 690 บาท)

สำหรับสาย Sync Apple แบบใหม่ที่มีชื่อเก๋ว่า Lightning หลายคนคงคิดว่ามันเป็นได้แค่สาย และไม่คิดจะนำมาใช้ตีมูลค่าเพิ่มความอยากในการซื้อ iPhone 5 แต่อย่างใด แต่ที่ผมเอามาเป็นประเด็นเพราะสาย Lightning นั้นมีอะไรที่ทำให้ iPhone 5 น่าซื้อกว่าที่คิดครับ ได้แก่

  • ตัวอุปกรณ์ (เช่น iPhone) จะใช้การตรวจจับจากปลายหัวปลั๊กก่อนว่ามีปลั๊กเสียบเข้ามาหรือไม่
  • จะไม่มีการรับส่งข้อมูลหรือสัญญาณไฟฟ้าใด ๆ ทั้งสิ้น จนกว่าปลั๊กจะถูกเสียบเข้ากับอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา
  • ชิปควบคุม Lightning มีหน้าที่หนึ่งคือเป็นตัวบอกอุปกรณ์ที่ใช้งานอยู่ว่าตัวเองนั้นคืออะไร ตัวอุปกรณ์จะได้สามารถสั่งการได้ถูก
  • อุปกรณ์ที่ใช้งานสายสามารถสั่งการหน้าที่พิเศษให้กับพินบนตัวปลั๊กได้ เช่นสมมติว่าอาจสั่งให้พินที่ 3 เปลี่ยนหน้าที่จากจ่ายไฟมาเป็นโอนถ่ายข้อมูลได้ ในกรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆ
  • เมื่อสายเสียบเข้าพอร์ตเรียบร้อยจนพร้อมสำหรับการทำงานแล้ว จะมีการเข้ารหัสข้อมูลจากต้นทางให้เป็นฟอร์แมตที่ต่างจากเดิม เช่นอาจเพิ่ม Noise เข้าไปในสัญญาณ เมื่อส่งสัญญาณไปถึงปลายทางแล้วก็จะทำการถอดรหัสอีกครั้ง ซึ่งในส่วนนี้ดูเหมือนว่าจะมีความยืดหยุ่นในการใช้งานพอสมควร อาจถึงขั้นเปลี่ยนไปใช้งานเป็นแบบใช้แสงในการรับส่งข้อมูลแบบ Fiber Optic ได้เลย

ข้อความสเปคสาย Lightning ด้านบนมีต้นฉบับมาจาก Mac Rumors นะครับ และถูกแปลโดย Spec Phone ตอนแรกผมพยายามแปลด้วยตัวเองแล้ว แต่รู้สึกว่าจะแปลออกมาแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ (แต่ใช้อันนี้ไม่รู้งงหนักกว่าเดิมรึปล่าวนะ)

ส่วนลดโปรโมชั่นจากผู้ให้บริการ (มูลค่า 1,000-5,000 บาท)

หลายคนอาจจะคิดว่าผมเอาเรื่องนี้มาคิดด้วยมันไม่แฟร์ แต่จริง ๆ แล้วมันมีมูลค่าในตัวมันอยู่ครับ (เป็นสาเหตุและแรงจูงใจหลักให้ใครบางคนซื้อเครื่องใหม่เลยนะ) สำหรับการซื้อจากผู้ให้บริการและทำสัญญาให้เขาผูกมัดซักหน่อย ในกรณีที่คนใช้เยอะและใช้เกินอยู่แล้วก็จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ เช่น บางค่ายอาจจะให้ส่วนลดค่าเครื่อง บางค่ายอาจจะใช้บริการฟรี 1-6 เดือนก็ว่ากันไปตามสัญญา

ทั้งหมดนี้ก็เป็นทั้งลดน้อยลดมาก ยังไงก็ขอให้คนที่จะซื้อนำมาชั่งน้ำหนักและพิจารณากันให้ดี ๆ ก่อน เพราะบางทีจากแทนทีจะได้กำไรจากส่วนลด กลับเป็นค่าใช้จ่ายเสียนี่

ประกันที่แถมกับเครื่องใหม่ (มูลค่า x,xxx บาท)

อันนี้ตีมูลค่าไม่ได้เหมือนกัน ก็คงต้องแล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน (ก็มันไม่มีขายนิ) แต่ที่ผมตีมูลค่าไว้ถึง 4 หลักเนื่องจากประกันของ Apple ค่อนข้างจะพิเศษนิดนึง คือถ้าเสียก็ไม่ต้องซ่อมเคลมเครื่องใหม่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง ที่ชาร์จ หูฟัง ประกันเหล่านี้มีมูลค่าหมดเพียงแต่เรามองไม่ค่อยเห็นเป็นตัวเงินเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าคิดง่าย ๆ ว่าหากเราใช้เครื่องเก่าถ้าเครื่องเสียเราเสียเงินซ่อมเอง (ถ้าประกันหมดแล้ว) แต่ถ้าหากซื้อเครื่องใหม่ก็อุ่นใจได้ไปอีก 1 ปีนั่นเอง

สรุปยกแรก (กิเลส vs เงินในกระเป๋า)

อันนี้ที่เปิดประเด็นมาไม่ใช่อะไรหรอกครับ เอาไว้เปรียบเทียบและชั่งน้ำหนักในใจของแต่ละคนดู ถ้าหากใครตอบโจทย์ทุกข้อก็ค่อนข้างที่จะมีเหตุผล (หรือจะเรียกข้ออ้างก็ได้) ที่จะซื้อเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น อารมณ์ประมาณว่า “เอาน่ะ … ไหน ๆ ถ้าเราไม่ซื้อ iPhone 5 เราก็ต้องซื้อของพวกนี้มาใช้อยู่ดี สู้ซื้อยกกล่องดีกว่าบวกตังค์อีกหน่อย”

หลายคนถ้าอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วยังรู้สึกหนักแน่นในเครื่องเก่าอยู่ และไม่คิดจะซื้อเครื่องใหม่ (สู้กับกิเลสชนะนั่นเอง) งั้นเราลองมาดูเรื่องประสิทธิภาพของเครื่องกันต่อเลยดีกว่า ว่าจะเปลี่ยนหรือซื้อใหม่ดีไหมหนอ?

524999_499806280039000_332026481_n

หน้าจอยาวกว่าแต่ไม่ใช่ใหญ่กว่า

งงไหมครับ? อันนี้เป็นความฉลาดอย่างหนึ่งของ Apple ที่ไม่เคยมีใครคิดหรือทำมาก่อนเลย (หรืออย่างน้อย ๆ ก็คิดแต่ไม่ประสบความสำเร็จ) เพราะการสำรวจและวิจัยของ Apple พบว่าหน้าจอขนาด 3.5” นั้นเหมาะกับการใช้งานมือเดียวมากที่สุด และ Steve Jobs ก็ศรัทธาเรื่องนี้มากเสียด้วย แต่พอเมื่อถึงจุด ๆ นึงก็จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะคู่แข่งทุกแบรนด์ต่างชูเรื่องหน้าจอใหญ่มาแข่ง และคนก็อยากได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น

ทางออกของ Apple ก็คือการทำหน้าจอให้ “ยาวขึ้น” แต่ไม่ใช่ “ใหญ่ขึ้น” ผลก็คือการออกแบบอันฉลาดนี้ทำให้สามารถใช้งานได้มือเดียวโดยถนัดเหมือนเดิม แถมยังพกพาสะดวกกว่าอีกด้วย

algoriddimdjay

ก็แค่หน้าจอ 4” ก็แค่ยาวขึ้นไม่มีอะไรหรอก (จริงหรือ?)

ส่วนตัวผมเชื่อว่า Apple เป็นบริษัทที่ทำงานกันเป็นทีมและวางแผนคิดระยะยาวมาก ไม่ใช่คิดอยากจะทำหน้าจอใหญ่ขึ้นวันนี้ พรุ่งนี้ก็สั่งโรงงานทำได้เลย แน่นอนว่า Apple วางแผนมาแล้วให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้น (ถ้าคิดแบบตื้น ๆ ก็คือดูหนังเต็มจอแบบไร้ขอบ) ซึ่งสัดส่วน 16:9 นั้นเป็นสัดส่วนที่ใช้กันในหน้าจอ LCD, MacBook ดังนั้นพวกโปรแกรมต่าง ๆ มีผลดีอย่างแน่นอน อย่างน้อย ๆ ก็กับ Keynote, Website ฯลฯ

ส่วนข้อดีอื่นก็จะเป็นประสบการณ์จากการออกแบบ App ใหม่ ๆ ที่จะสามารถใช้พื้นที่ได้มากกว่าเดิม อย่างตัวอย่าง App Djay ด้านบนเป็นต้น มีการปรับการออกแบบใหม่ให้ผู้ใช้งานใช้ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต้องแตะเข้าไป 2 ขั้นตอน ซึ่งหากเป็นหน้าจอขนาดเท่าเดิมจะไม่สามารถทำได้เลย เนื่องจากมันเล็กเกินกว่าที่จะใช้งานได้ถนัด

ซึ่งการใช้งานในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเกม RPG ที่หน้าจอขนาดปกติ แต่มี Mini Map ให้ดูอยู่ด้านล่าง หรือแม้กระทั่งการพิมพ์บนโปรแกรมแชทต่าง ๆ ที่มีคีย์บอร์ดมาบดบังหน้าจอได้น้อยลง ~ ประมาณนี้ครับ

iphone5-4s-camera-comparison

เขาว่ากันว่ากล้องเหมือนเดิม (จริงหรือ?)

สำหรับกล้อง iPhone 5 ถึงแม้กูรูหลายคนจะบอกว่า “เหมือนเดิม” โดยอาจจะมองแค่จำนวนพิกเซลที่เป็น 8MP เท่ากัน แต่หัวใจของเลนส์ในกล้อง iPhone 5 นั้นมีอะไรมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการถ่ายในที่มืดหรือการกำจัด Noise ที่ดีขึ้น และนอกจากนี้ยังสามารถถ่าย VDO ที่ความละเอียด 1080P และถ่ายภาพไปด้วยได้ ซึ่ง iPhone 4S จะไม่สามารถทำแบบนี้ได้ แม้จะลง iOS6 ไปก็ตาม (อาจจะเป็นขีดจำกัดของ Hardware จริง ๆ หรือแค่ “กั๊ก” ก็เป็นได้)

สำหรับการถ่าย VDO ของ iPhone 5 นั้นจะมีการวัดแสงและโฟกัสให้อัตโนมัติ แต่ถ้ากดที่หน้าจอแช่ไว้จะเป็นการล็อคค่าแสงและโฟกัส ทำให้การถ่าย VDO ทำได้สวยขึ้นมาก ๆ คือถ่ายกลางแจ้งแล้วแสงไม่วืบวาบ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ นั่นเอง เหมาะมากสำหรับการถ่ายวีดีโอตอนแดดจ้า แต่ล็อคค่าแสงไว้ไม่ให้ภาพมืดเกินไป

ส่วนอีกเรื่องแน่ ๆ สำหรับกล้องหน้า iPhone 5 ที่ละเอียดขึ้นเป็น 1.3MP (VDO HD) จากเดิมที่ iPhone 4/4S แค่ 0.3MP คาดว่าเหตุผลเพียงแค่นี้ก็น่าจะทำให้สาว ๆ ซื้อเครื่องใหม่ได้แล้ว ก็แหมมันชัดกว่าเดิมตั้งหลายเท่าหนิ

iphone-cpu-vs-android-cpu

Dual Core สเปคเต่าล้านปีไม่ควรซื้อจริงหรือ?

อันนี้ก็เช่นเดียวกับเรื่อง iPhone รุ่นก่อน ๆ เช่นกันสมัย iPhone 4 ที่ CPU 1Ghz แต่ชาวบ้านเขาไป Dual Core กันหมดแล้ว แต่ผลสุดท้ายแล้ว iPhone ก็ยังสามารถทำงานได้ดีกว่า (ทั้ง ๆ ที่สเปคด้อยกว่า) ไม่รู้ทำไม? แต่สำหรับ iPhone 5 ก็เช่นกัน CPU เป็นแค่ Dual Core แถมหากมองสเปคในกระดาษจะพบว่า “ก็พอ ๆ กับ iPhone 4S” ทำให้หลาย ๆ คนอาจจร้องยี้กันเป็นแถว

แต่ความจริงก็คือถึงแม้จะเป็น Dual Core ที่ Ghz แทบไม่ได้สูงมากกว่าเดิมนัก แต่หัวใจคือมีการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมใหม่จากเดิม Cortex-A9 เป็น Cortex-A15 เปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนกับ Intel Core 2 Duo เปลี่ยนเป็น Intel Core i3 ถึงจะมี 2 core เหมือนกัน แต่ความเร็วและประสิทธิภาพต่างกันนั่นเอง

และเท่าที่ Apple คุยไว้ก็คือ “มันเร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิม 2 เท่า” ซึ่งเท่าที่ดูจากผล Benchmark จากต่างประเทศ (ภาพด้านบน) แล้วจะพบว่า iPhone 5 ถึงแม้จะมี 2 Core แต่ยังเร็วกว่ามือถือ 4 Core ทั้งปวงเสียอีก

สรุปยกสอง (ฟีเจอร์ vs เงินในกระเป๋า)

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงอีกความเห็นหนึ่งที่มีแต่ iPhone 5 ที่ผู้เขียนคิดว่า “มันน่าซื้อ” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีเหตุผลที่ไม่น่าซื้ออยู่ ผมอยากให้ทุกคนอ่านใน อย่าซื้อ !!! iPhone 5 ถ้าคุณ … และสุดท้ายแล้วท่านผู้อ่านจะซื้อเครื่องใหม่ ทนใช้เครื่องเดิม หรือรอซื้อเครื่องเก่าตกรุ่น ยังไงก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคนล่ะครับ แต่ที่อยากจะบอกคือ “ข้อมูลเรื่อง iPhone 5 ขอให้คุณศึกษาและติดสินใจด้วยตัวเองดีกว่า อย่าด่วนสรุปเพียงแค่เชื่อคนขายบอกหรือฟังเขามาเลยครับ”

ความคิดเห็น - Like เพจ iPhoneMod.net

เขียนโดย yugioh2500

หากตรงไหนแปลหรือเขียนผิดสามารถชี้แนะได้ครับ
ติดต่อ-สอบถาม-พูดคุย-แลกเปลี่ยนกันได้ที่
Twitter: @yugioh2500