iPhone รุ่นใหม่ของปี 2018 จะเปิดตัวในวันที่ 12 กันยายน 2561 นี้ สาวกคนไหนที่กำลังอยากได้ iPhone ใหม่ก็แนะนำว่าให้ชะลอการซื้อเอาไว้ก่อนนะ มารอดูกันก่อนว่าในปีนี้สเปกของ iPhone รุ่นใหม่จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง และอีกหนึ่งความสำคัญของการเลือกซื้อ iPhone นั่นก็คือเรื่องสเปกของชิปรับสัญญาณเครือข่าย วันนี้เอามาดูกันว่า iPhone รุ่นไปไหนที่รองรับ 4G LTE และรองรับได้สูงสุดเท่าไหร่บ้าง
สาวก iPhone ควรเลือกรุ่นไหนและใช้ 4G ค่ายไหนดี? ให้รีดประสิทธิภาพได้เยอะสุด
iPhone ที่รองรับสัญญาณ 4G ครั้งแรกนั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ iPhone 5 เป็นต้นมาจากนั้นก็มีการอัปเดตสเปกของชิปโมเดมเรื่อยมาแม้ว่าความเร็วในเรื่องของการจับสัญญาณ 4G แบบที่มี CA นั้นจะไม่ดีที่สุดในท้องตลาดแต่ว่าความสามารถในการเชื่อมต่อ 4G ของ iPhone เองก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและเพียงพอกับการใช้งาน
มาดูสเปกของโมเดม 4G ในแต่ละรุ่นของ iPhone กันก่อนแล้วกันนะครับ ข้อมูลที่สำคัญๆ คือ ความเร็วในการดาวน์โหลด/อัปโหลดผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ (ไม่รวม WiFi) ตัวเลขมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น
- iPhone 5 (ก.ย. 2012) – LTE, Cat 3 100/50 Mbps
- iPhone 5c (ก.ย. 2013) – LTE, Cat 3 100/50 Mbps
- iPhone 5s (ก.ย. 2013) – LTE, Cat 3 100/50 Mbps
- iPhone 6, 6 Plus (2014) – LTE-A, Cat 4 150/50 Mbps
- iPhone 6s, 6s Plus (ก.ย. 2015) – LTE-A, Cat 6 300/50 Mbps (2CA)
- iPhone SE (มี.ค. 2016) – LTE-A, Cat 4 150/50 Mbps
- iPhone 7, 7 Plus (ก.ย. 2016) – LTE-A, Cat 9 450/50 Mbps (3CA)
- iPhone 8, 8 Plus (ก.ย. 2017) – LTE-A, Cat 12 600/150 Mbps (3CA)
- iPhone X (ก.ย. 2017) – LTE-A, Cat 12 600/150 Mbps (3CA)
จากข้อมูลด้านบนถ้าอธิบายง่ายๆ ก็ขอแนะนำว่าหากอยากได้ประสบการณ์การใช้งานผ่าน 4G LTE-A แบบเต็มที่ก็ควรจะเลือกซื้อ iPhone 7 และใหม่กว่าขึ้นไปนะครับ เพราะตั้งแต่รุ่นนี้เป็นต้นมาทาง iPhone นั้นรองรับเทคโนโลยีการรวมคลื่นความถี่ซึ่งเรียกว่า Carrier Aggregation (CA) เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คลื่นที่ให้บริการในไทยมีกี่ความถี่
ข้อมูลจากผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศไทยนั้นจะใช้อยู่ 5 คลื่นได้แก่ 850MHz, 900MHz, 1800MHz, 2100MHz และ 2300MHz
อธิบายง่ายๆ ถ้าคลื่นความถี่น้อย(ตัวเลขน้อยๆ) จะครอบคลุมพื้นที่กว้างทำรัศมีได้ไกลกว่า เหมาะกับการให้บริการในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงป่าเขา จะได้มีสัญญาณใช้กันอย่างทั่วถึง ส่วนคลื่นที่ความถี่สูง (ตัวเลขสูงๆ) จะมีการรับส่งข้อมูลที่มากและเร็วกว่า เหมาะกับการให้บริการในพื้นที่ที่ประชากรหนาแน่นอย่างในชุมชนหรือเมืองใหญ่ๆ เป็นต้น
ข้อมูลอัปเดตปี 2561 ของผู้ให้บริการในประเทศไทยทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าแต่ละผู้ให้บริการก็จะมีคลื่นที่ถือครองอยู่ และมีปริมาณ bandwidth ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งหากมองลึกลงไปจะเห็นว่าแต่ละค่ายมีคลื่นความถี่ที่ถืออยู่แตกต่างกัน ซึ่งอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ได้ดังนี้
TrueMove H ถือทั้งหมด 4 คลื่น 850, 900, 1800, 2100 MHz (รวม 110 Bandwidth)
เป็นค่ายเดียวที่มีจำนวนคลื่นอยู่ในมือถึง 4 คลื่น หมายความว่าสัญญาณของทรู จะได้เปรียบทั้งในเชิงของความครอบคลุมของสัญญาณที่กว้างที่สุดเพราะมีทั้งคลื่น 850 และ 900 MHz นอกจากนี้สามารถให้บริการในพื้นที่ที่มีความแออัดได้ดี และหากมองในแง่ของจำนวนผู้ใช้งานก็ถือว่ายังมีไม่มาก หากเทียบจำนวน bandwidth ที่มีกับจำนวนผู้ใช้งานในปัจจุบัน
AIS ถือทั้งหมด 3 คลื่น 900, 1800, 2100 MHz (รวม 120 Bandwidth)
เป็นค่ายที่มี bandwidth มากที่สุด แต่หากเปรียบเทียบแล้วก็ถือว่ามี bandwidth ไม่ต่างกันมาก และ AIS ถือเป็นค่ายที่มีจำนวนผู้ใช้บริการสูงที่สุดในปัจจุบัน จึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ AIS ต้องประมูลคลื่น 1800 MHz เข้ามาเสริมทัพ เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้บริการที่มีอยู่มากกว่าเจ้าอื่นเกือบเท่าตัว และทำให้สัญญาณมีความแข็งแรงมากขึ้นในพื้นที่แออัดนั่นเอง
DTAC ถือทั้งหมด 3 คลื่น 1800, 2100, 2300 MHz (รวม 100 Bandwidth)
เป็นค่ายที่มี bandwidth น้อยที่สุด ณ ตอนนี้ และจากผลกระทบเรื่องการขาดคลื่นความถี่ต่ำอย่าง 850MHz ในมือไป จึงอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความครอบคลุมของสัญญาณมีน้อยลง แต่หากมองในอนาคตแล้ว การที่ DTAC มีคลื่นความถี่สูงอยู่ในมือ ก็อาจได้เปรียบเจ้าอื่นในพื้นที่ที่แออัดมาก ๆ แต่อย่างไรก็ดคลื่น 2300 MHz อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาในการเตรียมความพร้อมพอสมควรเลยทีเดียว
แล้ว iPhone รับความถี่เหล่านี้ได้ครบไหม?
ตอบสั้นๆ ว่า “ครบ” เพราะหากเพียงอ้างอิงจาก iPhone X รุ่นปี 2017 แล้วจะรองรับหลายความถี่มากๆ รวมถึงความถี่ที่ให้บริการในประเทศไทยด้วยครับ (รายละเอียด iPhone LTE) ดังนั้น ก็หมดกังวลได้เลยว่าจะใช้ความเร็ว 4G ของไทยได้หรือไม่ คำตอบคือ ได้นั่นเองครับ
อุปกรณ์พร้อม คลื่นพร้อมอย่าลืมตรวจสอบพื้นที่ที่ให้บริการและแพ็กเกจที่ใช้งาน!
ทราบรุ่นของ iPhone ที่แนะนำไปแล้วว่าควรจะเลือกรุ่นไหนขึ้นไปถึงจะใช้ประสบการณ์ 4G ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีกคือ “พื้นที่ที่ใช้บริการ” เช็คดูก่อนว่าพื้นที่เหล่านั้นคุณภาพสัญญาณเป็นอย่างไร สัญญาณครอบคลุมไหมแล้วความเร็วเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าพื้นที่ที่ใช้งานอยู่สัญญาณห่วยมากๆ แม้เครื่องจะสเปกเทพแค่ไหนมันก็ไม่ได้ทำให้เร็วขึ้นเลย ดังนั้น อย่าลืมเลือกเครือข่ายที่เหมาะสมกับเราที่สุด
อีกอย่างที่ต้องพิจารณาก็คือ “แพ็กเกจที่ใช้บริการ” ซึ่งผู้ให้บริการนั้นมีทางเลือกให้กับผู้ใช้งานหลากหลายแบบ เช่น มีแพ็กเกจความเร็วอินเทอร์เน็ตให้เลือกแบบเต็มสปีด 300Mbps ที่ใช้ได้ไม่อั้นไม่ลดความเร็ว หรือจะเป็นแพ็กเกจเบาๆ สบายกระเป๋าอย่าง 10Mbps, 6Mbps ฯลฯ ให้ใช้งานแบบไม่ลดความเร็วก็มีเช่นกัน สิ่งที่อยากจะสื่อคือ ซื้อเครื่องแรงๆ แล้วก็ต้องเลือกแพ็กเกจให้เหมาะสมกับ ไลฟ์สไตล์ พื้นที่ที่ใช้บริการ และทำความเข้าใจด้วย ไม่ใช่ว่าซื้อแพ็กเกจเน็ตความเร็ว 6Mbps แล้วพอมาดูสเปก iPhone X มันรับได้มากกว่านั้นก็เข้าใจผิดว่าสัญญาณเน็ตไม่ดีแบบนั้นมันก็ไม่ใช่นะ