Apple เปิดตัว iPhone SE (รุ่นที่ 2) มาพร้อมสิ่งใหม่มากมาย ไฮไลท์สิ่งใหม่ใน iPhone SE (รุ่นที่ 2) และข้อมูลที่ควรทราบกันว่ามีอะไรบ้าง
ไฮไลท์สิ่งใหม่ใน iPhone SE (รุ่นที่ 2) และข้อมูลที่ควรทราบ
ราคาเริ่มต้นถูกกว่า iPhone 8 (ตอนเปิดตัว)
ถึงแม้โดยรวมแล้ว iPhone SE จะเหมือนกับ iPhone 8 แต่บอกเลยว่า iPhone SE เปิดราคามาถูกกว่า iPhone 8, โดยเมื่อปี 2018 iPhone 8 เปิดขายราคาเริ่มต้นที่ 28,500 บาท และปรับราคาช่วงเดือนกันยายน 2019 เหลือ 15,900 บาท
แต่ iPhone SE ใหม่นั้นอัปเกรดสเปคจาก iPhone 8 หลายจุด เปิดขายในราคาเพียง 14,900 บาท เท่านั้น
มีความจุสูงสุดที่ 256GB
iPhone 8 เปิดตัวครั้งแรกมีรุ่น 64GB, 256GB แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ขายเพียง 64GB, 128GB เท่านั้น โดยใน iPhone SE ใหม่นี้ได้นำความจุ 256GB กลับมาอีกครั้ง เท่ากับว่าผู้ที่ชอบ iPhone SE ใหม่ จะได้ใช้ iPhone รุ่นความจุสูง ๆ ได้ เพื่อใช้ต่อยาว ๆ นั่นเอง
สีเครื่องไม่เหมือน iPhone 8
สำหรับสีเครื่องของ iPhone SE ใหม่นั้นจะใช้หน้าจอดำทั้งหมด และตัวเครื่องเป็นคนละสีกับ iPhone 8 ดังนี้
สีขาว / เงิน
สีดำ / เทา
สีแดง / ทอง
ชิป A13 Bionic
iPhone SE ใหม่นำชิป A13 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11, 11 Pro ทำให้ iPhone SE ถูกเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและคุณสมบัติการใช้งาน
กล้องหน้าถ่าย Portrait ได้
ตรงนี้น่าสนใจ, เพราะกล้องหน้า iPhone SE รองรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ได้ 6 แบบเหมือนกับ iPhone รุ่น Face ID ซึ่งจุดนี้เป็นผลมาจากชิป A13 Bionic และถือว่าเป็นครั้งแรกที่กล้องหน้าของ iPhone รุ่นปุ่ม Home มีโหมด Portrait
กล้องหลังเหนือกว่า iPhone 8
ส่วนกล้องหลังนั้นเมื่ออ่านสเปคโดยรวมแล้วทำให้มองได้ว่า iPhone SE ใช้กล้องหลังตัวเดียวเลนส์ Wide ความละเอียด 12MP ถึงแม้จะละเอียดเท่า iPhone 8 แต่ก็มีหลายสิ่งที่ iPhone 8 ไม่มี
เช่น iPhone SE มีโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ได้ 6 แบบ, บันทึกเสียง Stereo และบันทึกวิดีโอ QuickTake เหมือน iPhone 11 ได้ เป็นต้น
ไม่มี Night Mode
iPhone SE ไม่มี Night Mode (โหมดกลางคืน) เหมือน iPhone 11, iPhone 11 Pro
Wi-Fi 6 และ LTE ระดับ Gigabit
iPhone SE เปิดขายในราคาถูกกว่า iPhone 8 แต่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่อย่างการรองรับ Wi-Fi 6 และ LTE ระดับ Gigabit เหมือน iPhone 11 และ iPad Pro รุ่นล่าสุดด้วย
ซิมคู่
iPhone SE รองรับซิมคู่ ประกอบไปด้วย Nano SIM และ eSIM ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ Apple ใส่มาใน iPhone รุ่นใหม่ ๆ ในช่วงหลังมานี้
ไม่รองรับ 5G, ไม่มี U1
iPhone SE ไม่รองรับ 5G ตามคาด เพราะด้วยราคาที่ถูกและเทคโนโลยีนี้ยังไม่ถูกใส่มาในสินค้าเรือธง ดังนั้นต้องรอให้ Apple ใส่คุณสมบัตินี้ใน iPhone รุ่นปลายปีอย่าง iPhone 12 ก่อน
อีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดาย คือ iPhone SE ไม่มี Ultra Wideband และชิป U1 ตัวช่วยการระบุตำแหน่งเหมือนกับ iPhone 11, iPhone 11 Pro ที่สามารถใช้คู่กับ AirTags สินค้าที่ Apple อาจเปิดตัวในอนาคต
ไม่มี 3D Touch
อีกหนึ่งจุดที่เป็นไปตามคาด คือ การถอด 3D Touch ที่เคยมีอยู่ใน iPhone 8 ออก แล้วผลักดันให้ผู้ใช้ไปใช้ Haptic Touch แทน เพราะคุณสมบัติตัวนี้ถูกใส่มาตั้งแต่ iPhone XR และถูกเปิดใช้งานใน iOS 13 ซึ่งการทำงานโดยรวมของ Haptic Touch นั้นสามารถทำงานได้ใกล้เคียงกับ 3D Touch
รองรับชาร์จเร็ว แต่ใส่อะแดปเตอร์ 5W มาเหมือนเดิม
iPhone SE ยังใช้พอร์ต Lightning เหมือนเดิมและในกล่องยังใส่อะแดปเตอร์ 5W มาให้เหมือน iPhone 8, ส่วนการชาร์จเร็วนั้นก็ยังเป็นสเปคเดียวกับ iPhone 8 คือ ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที9 ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 18 วัตต์ หรือสูงกว่า ซึ่งผู้ใช้ต้องซื้อเพิ่มเอง
ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นไฮไลท์และสิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ซึ่งก็จะมีข้อมูลอีกหลายจุดที่เราจะทราบกันหลังจากนี้ ต้องติดตามกันต่อไป
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ติดตามได้ที่นี่
🔴 คลิปสรุป https://youtu.be/djInCyaigPI
ℹ️ ข้อมูลเกี่ยวกับ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ติดตามได้ที่นี่ : https://bit.ly/3chKKIr
ℹ️เปรียบเทียบจุดต่าง iPhone SE (รุ่นที่ 2) กับ iPhone 8 : https://bit.ly/2Vdul26