เปิดตัวเปิดขายไปสักระยะแล้วสำหรับ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ที่มาพร้อมกับสเปกและราคาคุ้มค่าสุด ๆ ใครกำลังจะตัดสินใจซื้อมาชมรีวิวกันเลยว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
รีวิว iPhone SE (รุ่นที่ 2)
Apple เปิดตัวเปิดขาย iPhone SE (รุ่นที่ 2) โดยไม่ได้จัดงาน Event ใด ๆ แต่ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีโดยเฉพาะเรื่องราคาที่เปิดมาเพียง 14,900 บาทเท่านั้น ซึ่งเราไม่เคยเห็น Apple เปิดราคาขาย iPhone ครั้งแรกที่ต่ำกว่า 15,000 บาทมาก่อน
ไฮไลท์
- ตัวเครื่องดีไซน์เหมือน iPhone 8
- หน้าจอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว
- ความจุ 64GB, 128GB, 256GB
- ชิป A13 Bionic
- กล้องหลัง 1 ตัวความละเอียด 12MP
-
กล้องหน้า, กล้องหลังถ่าย Portrait ได้
- บันทึกเสียง Stereo
- Wi-Fi 6 และ LTE ระดับ Gigabit
- สีขาว, ดำ, แดง (PRODUCT)RED
- เริ่มต้น 14,900 บาท
iPhone SE (รุ่นที่ 2) เป็น iPhone ราคาเริ่มต้นถูกที่สุด
เหมือนที่กล่าวไปข้างต้นว่า iPhone SE (รุ่นที่ 2) เป็น iPhone รุ่นที่มีราคาเริ่มต้นครั้งแรกถูก ที่สุดในบรรดา iPhone ที่เปิดขายในไทยในราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท (iPhone SE รุ่นแรกเมื่อปี 2016 เริ่มต้นที่ 16,800 บาท)
ดีไซน์เหมือน iPhone 8 แต่รายละเอียดต่างกัน
ถึงแม้โดยรวมแล้ว iPhone SE (รุ่นที่ 2) จะใช้การออกแบบเหมือน iPhone 8 แต่ลักษณะภายนอกก็แตกต่างกันหลาย ๆ จุด ได้แก่
- iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้หน้าจอสีดำทั้งหมด
- iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้สีไม่เหมือน iPhone 8 เช่น สีดำ (Black)
- iPhone SE (รุ่นที่ 2) ด้านหลังเครื่องย้ายโลโก้ Apple มาไว้กลางเครื่อง, ไม่มีข้อความ iPhone
เอาใจคนชอบ iPhone แบบกระทัดรัด
iPhone SE (รุ่นที่ 2) มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วอาจจะเล็กไปหน่อยสำหรับสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบัน แต่สำหรับคนที่อยากถือ iPhone แบบถนัดมือ ไม่เล็กไป ไม่ใหญ่ไป, iPhone SE (รุ่นที่ 2) หน้าจอ 4.7 นิ้วถือว่าเหมาะมาก ๆ แล้ว
จอเล็ก แต่สวยใช้ได้
จอภาพ 4.7 นิ้วของ iPhone SE (รุ่นที่ 2) เป็นจอ Retina HD ที่สามารถดูเนื้อหาและวิดีโอได้คมชัด รวมไปถึงหน้าจอเป็นแบบ True Tone ปรับโทนจอให้เข้ากับแสงแวดล้อมได้ด้วย
ชิป A13 Bionic เร็วที่สุดใน iPhone ตอนนี้
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้ชิป A13 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ซึ่งถือว่าเป็นชิปที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในตอนนี้
คะแนนด้านประสิทธิภาพ
สำหรับคะแนนด้านประสิทธิภาพของ iPhone SE (รุ่นที่ 2) มีดังนี้
คะแนน Geekbench 5
ทดสอบความเร็ว Wi-Fi
ทดสอบความเร็ว Cellular
ประสบการณ์ด้านการเล่นเกม
จริง ๆ แล้วตรงนี้ไม่ต้องรีวิวอะไรมากก็พอทราบกัน เพราะ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้ชิป A13 Bionic ดังนั้นการเล่นเกมลื่นไหลแน่นอน
แต่จุดพิจารณาของรุ่นนี้ก็คือ แบตเตอรี่ที่ให้มาน้อยไปหน่อยอาจเล่นเกมต่อเนื่องได้ไม่นานเท่ารุ่นพรีเมียม (แต่ถ้าแบตฯ จะหมดก็ชาร์จใหม่เอา)
ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ (Portrait) ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
การใช้ชิป A13 Bionic ใน iPhone SE (รุ่นที่ 2) ส่งผลให้สามารถรีดความสามารถของตัวเครื่องออกมาได้มากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอหรือภาพถ่ายบุคคล (Portrait) ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง
iPhone SE (รุ่นที่ 2) ถึงแม้จะมีกล้องหลังตัวเดียวความละเอียด 12MP เหมือน iPhone 8 แต่ก็สามารถถ่ายภาพ Portrait ได้ (iPhone 8 ทำไม่ได้) รองรับการถ่ายภาพบุคคลได้ 6 แบบ เหมือน iPhone รุ่น Face ID ตระกูล X และ iPhone 11
ตัวอย่างภาพถ่าย Portriat ด้วยกล้องหลัง iPhone SE (รุ่นที่ 2)
ส่วนกล้องหน้านั้นถือว่าเซอร์ไพรส์มาก ๆ เพราะ iPhone SE (รุ่นที่ 2) สามารถถ่าย Portriat ด้วยกล้องหน้าได้เช่นกัน เทียบง่าย ๆ เลยว่า ยกคุณสมบัติกล้องจากรุ่นแพง มาใส่ในรุ่นย่อมเยานั่นเอง
ตัวอย่างภาพถ่าย Portriat ด้วยกล้องหน้า iPhone SE (รุ่นที่ 2)
รองรับ QuickTake เหมือน iPhone 11, iPhone 11 Pro
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ iPhone SE (รุ่นที่ 2) สามารถใช้ฟีเจอร์ QuickTake เหมือน iPhone 11, iPhone 11 Pro ได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้ใช้ได้ใน iPhone 11, iPhone 11 Pro
QuickTake จะช่วยให้ผู้ใช้ถ่ายวิดีโอแบบรวดเร็วได้ง่ายขึ้น ด้วยการแตะปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ แล้วถ้าอยากถ่ายวิดีโอต่อเนื่องก็ให้ปัดไปทางขวา หรือปัดไปทางซ้ายเพื่อถ่ายภาพต่อเนื่อง
ตั้งแต่ iOS 14, QuickTake จะสามารถใช้ได้ใน iPhone XS, iPhone XR แต่ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้ได้เลยใน iOS 13
Touch ID ที่ปลอดภัย
ถึงแม้ในตอนนี้ iPhone ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปใช้ Face ID เป็นฟีเจอร์ยืนยันตัวตนเป็นหลักแล้ว แต่ Touch ID ที่ปุ่ม Home ของ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ก็ยังมีความสะดวกด้านการใช้งาน และคงความปลอดภัยสูงสุดไว้เช่นเดิม
รองรับชาร์จเร็ว, ชาร์จไร้สาย
คุณสมบัติตัวนี้ถือว่าเป็นคุณสมบัติหลักของ iPhone รุ่นใหม่ ๆ ไปแล้ว โดย iPhone SE (รุ่นที่ 2) ใช้ตัวเครื่องวัสดุกระจกทำให้รองรับชาร์จไร้สายได้ด้วย
ส่วนการชาร์จเร็วนั้นชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 18 วัตต์ หรือสูงกว่า
ความจุสูงสุดที่ 256GB
จุดนี้ส่วนตัวค่อนข้างให้ความสำคัญ เพราะใครอยากใช้ iPhone SE (รุ่นที่ 2) แบบยาว ๆ นอกจากสเปกดีแล้วก็ต้องมีความจุเพียงพอด้วย โดย iPhone SE (รุ่นที่ 2) มาพร้อมความจุสูงสุดที่ 256GB ขายในราคา 20,900 บาท ใช้ต่อได้ยาว ๆ แน่นอน
รองรับ iOS 14
Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone SE (รุ่นที่ 2) ปีนี้ (2020) ซึ่งแน่นอนว่าจะรองรับ iOS 14 เวอร์ชันใหม่ที่จะปล่อยให้อัปเดตกันปลายปีนี้ และจะรองรับ iOS เวอร์ชันใหม่ไปได้อีกหลายปี!
iPhone SE (รุ่นที่ 2) เหมาะกับใคร
ใช้ Android อยู่รึเปล่า?
ใช้ Android อยู่รึเปล่า? .. คำนี้ Apple ใช้มาก็เพื่อเจาะตลาดผู้ใช้สมาร์ตโฟนระบบ Android ที่ต้องการย้ายมาใช้ iPhone, สัมผัสถึงประสบการณ์ใช้งาน iPhone แบบเต็มรูปแบบแต่ในราคาที่สบายกระเป๋า
ผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่า
ใครที่ใช้ iPhone 5s, iPhone 6 รวมไปถึง iPhone SE รุ่นแรกแล้วอยากอัปเกรดเป็นเครื่องใหม่ก็ถึงเวลาแล้วแหละ!! เพราะราคา 14,900 บาทนั้นถือว่าคุ้มค่ามาก สเปกใหม่ ได้รับการสนับสนุนบริการจาก Apple นานแน่นอน
เครื่องสำรองที่เหมือนเครื่องหลัก
iPhone SE (รุ่นที่ 2) เหมาะมากที่จะเป็นเครื่องสำรองสำหรับผู้ใช้ iPhone ที่มีเครื่องหลักเป็นรุ่นพรีเมียม แต่เตือนก่อนเลยว่าระวังจะหลงรัก iPhone SE (รุ่นที่ 2) จนหยิบมาใช้เป็นเครื่องหลัก 🙂
ราคาและการจำหน่าย
- iPhone SE (รุ่นที่ 2) 64GB – ราคา 14,900 บาท
- iPhone SE (รุ่นที่ 2) 128GB – ราคา 16,900 บาท
- iPhone SE (รุ่นที่ 2) 256GB – ราคา 20,900 บาท
สามารถซื้อ iPhone SE (รุ่นที่ 2) ได้แล้วที่ Apple Store ออนไลน์, Apple Iconsiam และหน้าร้านตัวแทนจำหน่าย ทั่วประเทศ
ข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับ iPhone SE (รุ่นที่ 2)
ข้อควรทราบเกี่ยวกับ iPhone SE (รุ่นที่ 2)
- ไม่มีชิป U1
- ไม่มี 3D Touch แต่ใช้ Haptic Touch แทน
- ไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืน (Night Mode)
- ใช้ Wi-Fi 6 และ LTE ระดับ Gigabit
- ไม่รองรับ 5G
- รองรับซิมคู่ ประกอบไปด้วย Nano SIM และ eSIM
- ทนน้ำทนฝุ่นมาตรฐาน IP67 (ลึก 1 เมตร นาน 30 นาที)
- RAM 3GB
- แบตเตอรี่ความจุ 1,821 mAh
อุปกรณ์ภายในกล่อง iPhone SE (รุ่นที่ 2)
- ตัวเครื่อง iPhone
- หูฟัง EarPods
- สาย Lightning เป็น USB
- อะแดปเตอร์แปลงไฟ USB ขนาด 5 วัตต์