Lightning to SD Card Camera Reader เป็นอุปกรณ์เสริมตัวหนึ่งของ iOS ที่ออกแบบมาเพื่อช่างภาพในการโอนถ่ายไฟล์ SD Card เข้ากับอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถึงแม้ว่าอันที่จริงกล้องยุคปัจจุบันหลายรุ่นจะรองรับ Wi-Fi และมีแอปพลิเคชันเองก็ตาม แต่บางครั้งก็พบกับความไม่สเถียร ต่อไม่ติด จนต้องทะเลาะกับกล้องอยู่บ่อยครั้ง (ในบางรุ่น)
Lightning to SD Card Camera Reader
ก่อนหน้านี้ส่วนตัวผู้เขียนเองเคยมีโอกาสได้ลองใช้ SD Card Wi-Fi ของรุ่น Toshiba FlashAir เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่เพราะกินแบตเตอรี่ บวกกับความยุ่งยากในการใช้งาน โดยหนีมาซื้อกล้องที่มี Wi-Fi ในตัวแต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ เพราะบางครั้งก็เจอปัญหาสัญญาณหลุด หรือเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนไม่ติด
Lightning to SD Card Camera Reader เป็นวิธีที่ง่ายสุดในการโอนถ่ายภาพ
หากใครสนใจ Lightning to SD Card Camera Reader ราคาอยู่ราว 1,200 บาท สามารถซื้อได้ผ่าน iStudio ทุกสาขา หรือสั่งออนไลน์กับทาง Apple แต่ความเข้าใจผิดก็คือบางคนคิดว่ามันใช้ได้กับ iPad เท่านั้น (จากโฆษณาหลังกล่อง) เพื่อไขความกระจ่างวันนี้ผมจึงขออาสามาทดสอบกับ iPhone 8 รุ่นใหม่ล่าสุดแทน
สังเกตเล็กน้อยก่อนซื้อ
หากคุณไปซื้อพวกสินค้าล้างสต๊อกหรือมือสอง ตรงนี้อยากให้สังเกตนิดนึงเพราะ Apple เคยอัปเกรดอุปกรณ์นี้ไปครั้งนึง เพื่อให้รองรับ USB 3.0 สามารถโอนถ่ายเข้าสู่ iPad Pro 10.5″ และ 12.9″ ด้วยความเร็วสูง (แต่ถ้าหากเป็น iPhone ก็ยังเป็น USB 2.0) โดยท้ายกล่องจะเขียนดังภาพว่า USB 3.0
แกะกล่องมาก็เปลือยเลยไม่มีอะไรทั้งสิ้น พร้อมกับเอกสารภายในที่ชวนเข้าใจผิดเพราะเป็นรูป iPad เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียวเพราะตั้งแต่ iOS 9.2 สามารถใช้กับ iPhone ได้แล้ว โดยรุ่นที่รองรับประกอบไปด้วย iPhone 5 ขึ้นไปรวมถึง iPad และ iPod ทุกรุ่นที่มีพอร์ต Lightning
ขนาดอุปกรณ์ก็ไม่ใหญ่อะไรมากนัก รองรับ SD Card เพียงอย่างเดียว (แต่หากคุณมีตัวแปลงก็ใช้กับ microSD ได้เช่นกัน) วัสดุงานประกอบดีระดับ AAA+ ตามมาตรฐานของ Apple คุ้มกับเงินที่เสียไป
ส่วนอีกฝั่งของอุปกรณ์จะเป็น Lightning
ทดสอบใช้งานกับ SD Card เกรดต่ำสุดของ SanDisk Class 4 ก็ไม่มีปัญหา แต่หากคุณต้องการความเร็วแนะนำให้ซื้อการ์ดความเร็วสูงมาจะดีกว่า และจากการทดสอบการ์ดความจุ 256GB ก็ยังสามารถใช้ได้ไม่มีปัญหา
ทดสอบใช้งานโอนถ่ายรูปหลังจากเสียบเข้า iPhone 8 ก็สามารถใช้งานได้เลยไม่ต้องลงแอปพลิเคชันใด โดยเมื่อเข้าไปที่ Photos จะมีเมนูพิเศษแทรกเข้ามาตรง “นำเข้า” (Import) ซึ่งจะเป็นรูปและวิดีโอในการ์ดทั้งหมด รองรับทั้งไฟล์ JPEG และ RAW รวมถึงไฟล์ที่เป็นวิดีโอ (H.264 และ MPEG-4)
สามารถเลือก “นำเข้าทั้งหมด” หรือ “นำเข้าที่เลือกอยู่” ก็ได้ครับ
ความสะดวกก็คือหลังจากเราดึงรูปจาก SD Card ระบบ iOS จะถามต่อว่าคุณต้องการลบรูปในการ์ดด้วยมั้ย (สำหรับคนขี้เกียจเก็บอะไรเยอะแยะ) และสมมุติว่าเรานำเข้ารูปไปแล้วแต่ไม่ลบ ครั้งหน้าถ้าคุณเอาการ์ดมาเสียบใหม่มันก็จะแสดงสัญลักษณ์เครื่องหมายถูกสีเขียว ให้คุณได้ทราบว่าเคยนำเข้ารูปนั้นไปแล้ว
ประสบการณ์ใช้งาน
ด้วยความที่กล้อง DSLR, Mirrorless คุณภาพสูงขึ้นทุกวัน ขนาดไฟล์ก็ใหญ่ขึ้นตามจำนวน ไหนจะเรื่องวิดีโอที่ถ่ายแล้วได้ไฟล์ 4K ขนาดมหาศาลอีก บวกกับ iPhone, iPad ก็ขายกันที่ความจุสูงขึ้น การตัดต่อวิดีโอผ่านอุปกรณ์พกพากลายเป็นเรื่องปกติ จึงทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากสำหรับมืออาชีพที่ทำงานพวกนี้
แต่สำหรับมือสมัครเล่น ที่เน้นถ่ายรูปอัปโหลดลง Social อาจไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ (หากคุณไม่ทะเลาะกับ Wi-Fi)
สุดท้ายนี้ผมเองก็เป็นมือสมัครเล่นคนหนึ่ง แต่ก็เลือกที่จะซื้อเก็บไว้เพราะสามารถใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ของ Apple แล้วมันก็สะดวกดีเวลาโอนถ่ายรูปจากกล้อง ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็เสร็จแล้วครับ แต่เรื่องใครจะเอามาเก็บไฟล์อื่นนอกเหนือจากรูปภาพและวิดีโอ ใช้ผ่านอุปกรณ์อันนี้ไม่ได้นะครับ เป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง