เคสตัวนี้มาแปลกเพราะมาจากเกาหลี โดยส่วนตัวแล้วผมรีวิวเคสมามากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นของประเทศใด ๆ จะพอสรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้ (ทั้งหมดนี้อิงความรู้สึกผมคนเดียวนะ)
อเมริกา : สวย เรียบ ดูมีระดับ แพง แข็งแรง
ญี่ปุ่น : อเนกประสงค์ ฮา คาดไม่ถึง
จีน : ถูก ดีไซน์ก๊อป ๆ เขามา คุณภาพพอใช้
อังกฤษ : ดูผู้ดีคล้าย ๆ อเมริกา แต่หรูกว่า
เกาหลี : น่ารัก สวย สีสดใส กำมะหยี่ หนัง
ไทย : ถูก ดี แต่ไม่ค่อยเห็นส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือ
ตัว Case สามารถหาซื้อได้ตามห้างทั่วไปหรือที่ BBiPhone.com จะถูกกว่าหน่อย ราคา 2,450 บาท
(ผู้สนับสนุนสินค้าในการทดสอบครั้งนี้)
ตัวเคสนั้นจะมีให้เลือกหลายสี ประกอบด้วย เขียว ชมพู ม่วง ส้ม ดำ ซึ่งแต่ละสีก็สวย ๆ สด ๆ ทั้งนั้นเลยโดยเคส iRoo นั้นจะเป็นสินค้าชั้นดีจากเกาหลี (Made in Korea) ซึ่งเป็นงานที่ทำได้อย่างดี และถือว่าเป็นเคสชนิด Folio ที่มีความบางที่สุดในโลก (The Slimmest folio case in the world) โดยซื้อ 1 จะได้เหมือน 2 คือ Smart Cover และ Portfolio เนื่องจากคุณสมบัติของ Smart Cover ที่สามารถเปิด-ปิดเคสได้ด้วยแรงของแม่เหล็ก ทำให้มีฟีเจอร์ “Smart On-Off ” เหมือนกับ Smart Cover (ใครเคยใช้น่าจะพอทราบ) คือสามารถเปิด-ปิดเครื่องได้โดยการแค่เปิด-ปิดตัวฝาเคส ช่วยประหยัดแรง เวลา อีกทั้งไม่ทำให้ปุ่มสึกหรอง่ายอีกด้วย วัสดุทำมาจากหนังเทียม (Synthetic Leather) อย่างดี จึงอาจพูดได้เต็มปาก เต็มคำว่า “ความสามารถ เหนือราคา”
ราคาเคสตัวนี้ทันทีที่ผมเห็นครั้งแรก ถึงกับร้อง โอ้โห !!! ทำไมมันแพงจัง ไม่ใช่ว่าร้านขายแพงหรอกนะครับ ผมไปเจอในห้างตอนแรกอยู่ที่ 2,600 บาท (ตอนแรกแกล้งถามเพราะกะว่าอยู่ประมาณพันกว่าบาท จะรีบสอยมาทันที ฮ่า ๆ ๆ …) แต่ต้องยอมรับว่าทันทีที่ผมเห็นมันสวยจริง ๆ เป็นเคสในอุดมคติเลย คือปิดทั้ง หน้า-หลัง บาง และยังมีฟีเจอร์ Smart On-Off อีกด้วย
ผมก็ว่าทำไมถึงเป็นรูปจิงโจ้ แล้วใช้ชื่อแบรนด์ว่า iroo ที่แท้บริษัทแม่นั้นออกแบบที่ออสเตรเลียนั่นเอง แต่ก็ยังยืนยันด้วยคำว่า “Made in Korea” เช่นเดิม ทำให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพ และการ QC
ตัวเคสทำจากหนังสังเคราะห์ ขนาดอยู่ที่ 190 x 242 x 15 มิลลิเมตร ซึ่งนับว่าบางมาก ๆ ใช้แล้วไมม่ผิดหวังจริง ๆ ด้วยความที่เป็นหนัง (ไม่ได้เป็นพลาสติก) จึงทำให้กันรอยขีดข่วนที่เกิดจากเคสได้ 100% อีกทั้งยังสามารถรับแรงกระแทกได้มากกว่าเคสพลาสติกอีกด้วย
ดูชัด ๆ สำหรับรุ่นของเคส (จะได้ไม่หยิบผิด 555+) รวมถึงคุณสมบัติของเคสที่ เบา บาง ใช้งานง่าย Smart On-Off ปกป้อง 2 ด้าน อีกทั้งยังใช้วัสดุคุณภาพสูงอีกด้วย (ยาวจริง ๆ เรียกได้ว่าอะไรดีเคสตัวนี้จับยัดมาหมด ดีนะไม่มี Stylus กับกันรอยรอบตัวแถมด้วย :D)
ตัวเคสติดตั้งค่อนข้างง่ายครับ เพียงแค่เสียบจากด้านบนหัว ปุ๊บ ค่อย ๆ ดันลงไปแล้วก็เสร็จ ไม่ต้องมีตัวล็อคใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ทำให้เครื่องหลุด เพราะตัวเคสกับเครื่องนั้นแน่นเอาเสียมาก ๆ
พอเปิดมาเจอบรรจุภัณฑ์ด้านในจะพบว่ามีกันกระแทก อยู่อย่างดี เพื่อไม่ให้เสียรูปทรง (ตอนขนส่ง) วัสดุด้านในจะเป็นคล้าย ๆ กำมะหยี่ หรือหนังกลับ (ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่าอะไร) ไม่เหมือนกับด้านนอกที่เรียบเนียล ซึ่งใช้ไปซักพักหากสกปรกอาจจะต้องทำความสะอาดด้วยครีมทำความสะอาดหนังบ้าง
เมื่อติดตั้งเคสได้จะเป็นลักษณะนี้ มีการเว้นปุ่ม Home ไว้ให้กดแบบพอดีมือเท่านั้น โดยอาจจะทำให้กดลำบากซักเล็กน้อย แต่หากใครไม่ค่อยได้กดเหมือนผมก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ใครกดบ่อย ๆ ระวังปุ่มจะเสียเอาได้ การลง App ช่วยอย่าง mQuickdo ก็เป็นทางเลือกที่ดี
ฝาของเคสจะมีลักษณะเป็นลูกคลื่น ๆ คล้าย ๆ กับ Smart Cover สามาระพับเพื่อให้เป็นทรงได้ ทำให้ไม่เกะกะนักเวลาจับหรือถือ
มีการเจาะรูสำหรับสาย Sync ทำให้ใช้งานได้อย่างไม่ติดขัด ส่วนลำโพงมีการเจาะรูไว้บ้างเล็กน้อย เพื่อให้เสียงออกมา จึงทำให้เสียงนั้นไม่เสียคุณภาพมากนัก หากฟังเฉย ๆ จะไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างนัก จำต้องให้นักฟังหูเทพฟ้าประทาน ซึ่งหาได้น้อยรายในโลก โดยในไทยมีเพียงแค่ 8 คนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผม (ชักเวอร์ ๆ ๆ 555+ ออกทะเลไปไกล)
ตัวเคสด้านหน้านั้นประกอบด้วยจิงโจ้น้อยผู้เดียวดาย ผู้ซึ่งคอยหากินผล Apple แหว่ง (ที่อยู่ด้านหลัง) ทำให้คงความคลาสสิคได้เป็นอย่างดี และยังทำให้คนรอบข้างสงสัยและอยากรู้ด้วยว่า “เคสยี่ห้อไรวะ?”
ส่วนบนของเคสที่ไม่มีบดบังใด ๆ แต่ก็ไม่ทำให้เคสหลุดแต่อย่างใด แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีซะอีกเพราะไม่มีอะไรมาบดบังตัวรับสัญญาณ 3G ห่วย ๆ ของบ้านเรา ซึ่งถึงแม้มันจะช่วยไม่มาก แต่บางสถานการณ์แค่มันรับสัญญาณดีขึ้นซัก 0.1% ผมก็มีความสุขแล้ว = =”
มาดูอีกมุมชัด ๆ กันครับ สำหรับงานหนังการตัดหนัง หรือเข้ามุมอะไรถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กลาง ๆ คือไม่หยาบ และก็ไม่เนี๊ยบจนเกินไป คือบางคนจะเอาเพอร์เฟคแต่ลืมนึกไปว่ามันงานหนัง มีตัด มีเจาะ เผลอ ๆ ใช้แรงงานคนด้วยซ้ำ จะให้มาเป๊ะ ๆ เหมือนหล่อแบบพลาสติกก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าสำหรับคนที่เชื่อใจผม (มีด้วยหรอ?) ผมขอยืนยันว่าหากมองงานในรวม ๆ แล้วสวยมาก
ตัวเคสด้านหลัง มีโลโก้ iroo อย่างชัดเจนพร้อมกับ Made in Korea แต่เสียใจด้วยที่ไม่มี logo Apple โชว์ (สำหรับผมไม่ได้สำคัญอะไรเลย) มุมด้านข้างที่ต้องเว้นไว้แบบนั้น เพราะตัว iPad 2 นั้นมันโค้งไม่ได้เหลี่ยม ทำให้เข้ามุมกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงเพราะปกป้องเคสส่วนใหญ่ได้ก็พอแล้ว เพราะผมไม่ค่อยชอบใส่เคสพลาสติกซักเท่าไหร่ กลัวมันจะเป็นต้นเหตุทำให้ iPad เป็นรอยเสียเอง ตรงมุมหากเป็นรอยขนแมวนิด ๆ ผมทนได้ (เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย)
เคส iroo เมื่อทำการพับ ๆ แล้วจะสามาระเป็นขาตั้งสำหรับพิมพ์ได้เหมือนกับ Smart Cover เท่าที่ลองดูมั่นคงแข็งแรงมากเลยทีเดียว ไม่ต่างกับ Smart Cover เลย เพราะหากใช้ Smart Cover แล้วเวลาตั้งเครื่องก็ทำให้เครื่องสีกับพื้นโต๊ะทำให้เป็นรอยได้อยู่ดี
ตัวเคสเมื่อพับแล้วยังทำให้จับได้กระชับมือยิ่งขึ้น เนื่องจาก iPad2 มันบางมาก !!! แต่หากใครไม่ชอบจับแบบนี้ก็ปล่อยยาวแล้วพับครึ่งค่อยจับก็ได้ครับ ไม่ห้อยแน่นอนเพราะมีแม่เหล็กดูดอยู่ นอกจากนี้แล้วตัวเคสด้านหน้าที่เป็นสีดำ ยังทำการสลักพื้นผิวให้ขรุขระเป็นตาข่ายทำให้จับได้กระชับมือไม่ลื่นหลุดมือเวลาเหงื่อออกอีกด้วย (ชอบจุดนี้มาก บรรจงทุกรายละเอียด)
ตรงด้านข้างเครื่องนั้นได้เจาะไว้เฉพาะปุ่ม Lock เสียงเท่านั้น ส่วนปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงนั้นได้คลุมไปเลย เวลากดก็ให้ใช้วิธีกดลงไปบนตัวเคสได้เลย ไม่แข็ง ไม่ด้าน เพราะเคสเป็นหนัง
นอกจากการพับเพื่อเอียงเคสในแบบแรกแล้วยังสามารถเอียงแบบนี้ได้อีก เหมาะสำหรับเวลาพรีเซ็นท์งาน ดูหนัง หรือต่อกับคีย์บอร์ด ตัวฐานมั่นคง แข็งแรง ไม่โคลงเคลงหรือทำให้หล่นแน่นอน (แต่ถ้าตกก็ยังมีเคสด้านหน้ารองรับ ต่างจาก Smart Cover ที่ตกแล้วเสี่ยงมาก ๆ)
สรุป : เป็นเคสรุ่นนึงที่อาจจะแพงไปซักนิดสำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับผมแล้วถือว่าไม่แพง เพราะว่า “นี่แหล่ะคือเคสที่ผมตามหามานาน” (ตอนนี้ผมก็ยังใช้เคสตัวนี้อยู่ เพราะในตลาดบอกได้เลยว่าเคสบางเท่านี้หาไม่ได้อีกแล้ว นอกจากใช้ Smart Cover เปลือย ๆ ซึ่งผมก็ไม่แนะนำ เพราะมันแทบไม่ได้ปกป้องอะไรเลย จะมีดีก็เคสตัวนี้เท่านั้นที่สามารถใช้ฟีเจอร์ Smart On-Off ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลากดเปิด-ปิดเครื่องทุกครั้งที่ใช้งาน เพียงแค่เปิดฝาเครื่องก็จะพร้อมใช้งานแล้ว พอปิดฝาเครื่องแล้วเครื่องก็ล็อค ทำกี่ครั้งก็ได้ไม่ต้องกำหนดระยะเวลา ช่วยให้สะดวก อีกทั้งยังถนอมปุ่มของเครื่อง iPad เราด้วย หากใครชอบบาง ๆ เบา ๆ (เหมือนผม) พร้อมกับความสามารถเจ๋ง ๆ แบบนี้ล่ะก็ซื้อไปไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ^0^ (คิดเอาง่าย ๆ ว่าผมรีวิวมาเป็น 10 อัน จับมาก็เยอะ ผมยังเลือกใช้จบลงที่อันนี้เลย)
ขอขอบคุณ : ร้าน BBiPhone.com ที่เอิ้อเฟื้อเคสคุณภาพมาให้ทีมงานได้ทดสอบ
(หากท่านสนใจสินค้าตัวที่ทีมงานรีวิวนี้สามารถคลิกสั่งซื้อได้ ที่นี่)
ไม่สวยตรงข้างหลังนี้ละครับ โดยรวมโอเค อยากลองสัมผัสดูว่ามันจะรู้สึกดีสมกับราคามันมั้ย
อ่อ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย นะครับ เหอๆ
ลอง ๆ ไปจับดูที่ istudio ได้ครับ แต่รู้สึกว่าเขาไม่แกะกล่องให้นะ แต่เนื้องาน(หนัง)ไม่ผิดหวังครับ สำหรับคนชอบบาง ๆ เหมือนผม
ส่วนตัวผมว่าสวยโอนะ Smart On-Off ได้ เจ๋งดีๆ -0-
เคสรุ่นใหม่ ๆ ถ้ามีราคาหน่อย Smart On-Off ได้หลายตัวแล้วครับ
สตูอยู่ในห้องน้ำหรอครับพี่ อิอิอิอิ
แฮ่ ๆ ๆ มันดึกแล้วห้องอื่นแสงไม่ค่อยพอ
โดยรวมชอบอันนี้นะ แต่ติดตรงที่ว่า มุมมันโล่งอ่ะเดี๋ยวก็เป็นรอย จะแก้ยังไงได้บ้างคะ
ไม่เป็นรอยนะครับ ผมใช้หลายเดือนแล้ว จริง ๆ ตรงมุมมันนิดเดียวเอง ถ้าใช้ไม่โยน ไม่กระแทกจะไม่เป็นรอยหรอกครับ วางใจได้ ^^
สีชมพูกับสี่ม่วงสีไหนสวยกว่ากันคะ
ชมพูสวยกว่านะครับ แต่ผมชอบส้มกับเขียวมะนาว
อยากได้มั่งอะ แต่เสียดายของเดิม
อันนี้มันบางดีนะครับ บางที่สุดในโลกด้วย ใช้แล้วจะติดใจ ^^
ใช้อยู่ ของเขาดีจริงๆ 😀
ไปเดินดูที่digital gatewayมาที่ชั้น ราคา2400 แพงไหมอะครับ
แต่ดูแล้วชอบสีส้มสุดเลยครับ
ลองเช็คที่ http://www.bbiphone.com ครับ
กลาง ๆ ครับ
ที่ IT Square หลักสี่ ชั้น 1 หน้าวัตสัน 2 พัน นิดๆ ราคาโอมากค่ะ ของแท้แน่นอน 100% คะ
สีไหนเข้ากับ ipad สีขาวสุดคะ ชอบส้ม แต่คิดว่าตรงที่คลุมด้านหน้า ipad เป็นสีดำ คงไม่่เข้ากัน ถ้าสีดำขอบครีมจะเข้ากว่าไหมคะ จะไปลองิทียบสีที่ไหนได้บ้างเอ่ย
คิดว่าคงไม่ต่างกันครับ ดำตัดขาวก็สวยดีครับ ไม่ถึงกับแปลก
ใช้ ipad สีขาวเหมือนกันค่ะ ซื้อสีชมพูมาเพราะตรงข้างในสีมันไม่ออกดำ ใส่แล้วสวยค่ะ
ใช้อยู่ค่ะ ดีมากเวลาถอดออกยากมาก สมกับราคา เปลี่ยนมาหลายแบบและพอมาเจออันนี้โอเคเลยค่ะ รับประกันใช้แล้วไม่ผิดหวังแน่