ปัญหาในการใช้งาน Gadget ที่ทุกคนล้วนเจอคือปัญหาเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะแบตเตอรี่หมดบ้าง หาปลั๊กชาร์จไม่ได้บ้าง แย่งปลั๊กชาร์จกันบ้าง ฯลฯ ซึ่งวันนี้เราจะมารีวิว Innergie LifeHub™ “อุปกรณ์ชาร์จเปลี่ยนชีวิต” และเหมือนเดิมสำหรับใครที่มีคำถามสงสัยหรืออยากให้ทดสอบเพิ่มเติม สามารถทิ้งคำถามไว้ได้ใต้รีวิวนี้หรือติดต่อผู้เขียนรีวิวได้ที่ Twitter @yugioh2500
“Innergie LifeHub™” สามารถหาซื้อได้ตามผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ King Power, Koan, SVOA, Synnex และอื่น ๆ ในราคา 1,890 บาท
ติดตามข่าวสารจาก Innergie Thailand ได้ที่ http://www.facebook.com/Innergie.Thai
ไลฟ์สไตล์การใช้งานก็จะเป็นประมาณนี้ ไม่ต้องจ่อตัวติดกับผนังแต่สามารถลากมาชาร์จได้ทั่วบ้านเลย แถมยังจ่ายไฟได้ถึง 3 USB เลยทีเดียว สำหรับราคาเกือบสองพันก็ไม่ค่อยแพงนะผมว่า เพราะ Adapter ชาร์จแท้ก็ราคาร่วมพันแล้ว (แถมชาร์จได้พอร์ตเดียว) ซึ่งราคาเท่านี้แลกกับความสบายก็โอเคอยู่
ดีไซน์ดูทันสมัยโคตร ๆ เหมาะสำหรับการวางไว้ในคอนโดที่ดู Modern หน่อยหรือตามร้านกาแฟเล็ก ๆ เพื่อบริการลูกค้าก็ไม่เลว ภายในกล่องประกอบด้วย
- LifeHub ขนาด 3 เมตร
- แท่นวางเป็นแม่เหล็กในตัวและสำหรับพันสาย LifeHub ได้ด้วย
- อะแดปเตอร์
- สายไฟขนาด 1.5 เมตร
- คู่มือผลิตภัณฑ์
รวม ๆ แล้วความยาวประมาณ 4.5 เมตรกว่า ๆ เลยทีเดียว เพราะอะแดปเตอร์ก็มีความยาวอีกประมาณคืบนึง และมันจะยาวกว่านี้อีกหากคุณใช้สายชาร์จ USB ที่แถมมากับ iPhone ซึ่งขนาดจะอยู่ประมาณเมตรนึงรวมความยาวเป็น 5.5 เมตรกว่า ๆ เลยทีเดียว วิ่งกันได้รอบห้องกันล่ะทีนี้จะยาวไปไหนกัน
นอกจากนี้ยังปลอดภัยอยู่สูงสุดด้วย 5 InnerShield™ Power Protection ประกอบไปด้วย
- OCP (Over Current Protection) ป้องกันกระแสไฟเกิน
- OTP (Over Temperature Protection) ป้องกันอุณหภูมิสูงเกิน
- OVP (Over Voltage Protection) ป้องกันการจ่ายไฟเกิน
- OPP (Over Power Protection) ป้องกันกำลังไฟเกิน
- SCP (Short Circuit Protection) ป้องกันไฟลัดวงจร
พร้อมการรับประกันสินค้าที่หายห่วงด้วยการรับประกับทั่วโลกนานถึง 1 ปี และแบรนด์ Innergie วางใจได้ (เห็นบางคนไม่ค่อยรู้จัก) เพราะเป็นแบรนด์สากลซึ่งเป็นผลผลิตของ Delta ที่มีโรงงานผลิตทั้งในประเทศไทย อินเดียและสโลวาเกีย และมีหน่วยงานด้านการวิจัยและพัฒนาหลายแห่งทั้งในประเทศเยอรมัน ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 10 ประเทศ
กล่องด้านในมาแบบสวยงามซึ่งบางครั้งก็ดูเหมือนจะเกินความจำเป็นไปบ้าง รอยตัดกระดาษดูสด ๆ ใหม่ ๆ และมีเศษขุยตกลงไปในกล่องบ้าง (ไม่มีผลต่อคุณภาพแต่บ่นเรื่องบรรจุภัณฑ์ไปงั้น)
ทีนี้มาดูคู่มือกันครับไม่มีภาษาไทยแต่ก็พอจะเดาวิธีการใช้งานได้ไม่ยาก
อุปกรณ์ภายในก็ทำออกมาได้เรียบร้อยและดูเนียนสมกับการใช้งานกับ Apple Device จริง ๆ
เมื่อต่อข้อต่อแล้วจะมีหน้าตาออกมาประมาณนี้ แต่ละส่วนแน่นไม่มีหลุดดีครับ
สเปคของอะแดปเตอร์ดูหน้าตาแล้วนึกถึงสมัยใช้ Netbook ขนาดเล็ก ๆ ประมาณกำมือนี่แหล่ะไม่ใหญ่มาก
ตัวของแท่นวางเป็นแม่เหล็กแบบอ่อน ๆ ให้พอยึดเบา ๆ เท่านั้นข้อดีก็คือมันแกะง่าย ส่วนข้อเสียก็คือมันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยในด้านการยึดติด (สงสัยศึกษาธรรมะมาบ่อยมั้งเลย “ปล่อยวางไม่ยึดติด”)
พลาสติกเป็นแบบเงาสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายครับ ส่วนแท่นวางเป็นแบบด้านนิด ๆ และสายก็ดีไซน์คล้าย ๆ กับสาย Sync ของ Apple แต่ดูมีความแข็งกว่า (น่าจะขาดยากกว่าด้วย)
แท่นวางกับ LifeHub สามารถแยกออกจากกันได้อย่างอิสระ
ขนาดสามารถถือได้อย่างสะดวกมือ มีช่องตรงกลางไว้สำหรับเกี่ยวข้อนิ้ว (มีแสงด้วย)
พอร์ต USB แน่นแข็งแรงดีครับ สวยข้อต่อสายของ LifeHub งานประกอบอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก อันนี้ขอยอมรับเลย
ความยาวของสาย LifeHub สามารถม้วนเก็บกับแท่นวางได้หากคิดว่ามันเกะกะ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าขนาดกำลังอยู่พอดีสำหรับเดินรอบห้องในคอนโดขนาดเล็ก หรือจะเก็บไว้ในห้องนอนก็สะดวกเพราะมันสามารถลากไปหลาย ๆ จุดได้ด้วย
และมันก็ปลอดภัยกว่าหากจะวางไว้บนเตียงต่อให้เรานอนทับหรือเอานิ้วไปแหย่ อุบัติเหตุจนกระทั่งสายขาดมันก็เป็นไฟแค่ 5V (ผ่านการแปลงมาแล้ว) ปลอดภัยกว่าการลากปลั๊กพ่วงมาไว้ข้างที่นอนแน่ ๆ เพราะอันนั้นเป็นไป 220v
ลองใช้จริงกับคอนโดของผมเสียบปลั๊กที่อยู่ด้านบน ซึ่งปกติไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยนอกจากใช้เสียบ Router เนื่องจากปลั๊กมันอยู่บนมาก ๆ และออกแบบมาใช้กับพัดลมติดผนัง
โอกาสนี้พอได้ซื้อ LifeHub มาใช้งานก็โดนใจมากเลยทีเดียว สายไฟขนาด 1.5 เมตรส่วนตัวว่ามันยังยาวเกินไปเลยขอม้วนเก็บเอาไว้ก่อน
ลากออกมายาว ๆ สำหรับชาร์จหัวเตียงได้เลย ก่อนนอนก็ชาร์จทิ้งไว้ไม่ต้องเดินไปหาผนังให้เมื่อย แถมยังใช้ปลุกตอนเช้าได้อีกด้วย
รกชะมัดแต่เพื่อการรีวิวเราจำเป็นต้องทำ (ฮา) ปลั๊กไฟอยู่ด้านบนผมเสียบก็สามารถลากสาย LifeHub มาเพื่อชาร์จกับ iPad บนพื้นได้เลย แต่ถ้าปลดสายไฟขนาด 1.5 เมตร ก็สามารถลากไปถึงโต๊ะกินกาแฟได้เลย
ไม่ต้องหาที่เสียบอะแดปเตอร์ชาร์จหรือย้ายที่บ่อย ๆ อย่างในกรณีนี้ผมมานั่งเล่น PC ก็สามารถลากมาชาร์จได้ทันที ไม่ต้องทิ้งเครื่องไว้มุมห้องเวลาสายเข้าทีก็ต้องวิ่งไปดูให้เหนื่อย หรือกำลังติดเกมแต่แบตฯ หมดก็สามารถลากมาชาร์จไปเล่นไปที่โซฟาได้ทันที
หากมองที่โต๊ะจะเห็นได้ว่าผมมีอะแดปเตอร์ชาร์จ iPad อยู่ตัวนึง ซึ่งมันค่อนข้างใหญ่เวลาเสียบกับปลั๊กแล้วมันกินไปถึงสองช่องเสียบเลยทีเดียว และต่อไปนี้ผมคงไม่ต้องใช้มันอีกแล้วเพราะมี LifeHub ไว้ที่บ้านตัวเดียวก็ตอบโจทย์ แถมแบ่งปันกับคนในครอบครัวได้ด้วยไม่ต้องเสียบเข้าเสียบออก
สามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์ได้ถึง 3 เครื่องพร้อมกัน (จ่ายไฟ 2.1A ทุกพอร์ต) หลายคนอาจจะมองว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณมีสมาร์ทโฟนเครื่องนึง แท็บเล็ตเครื่องนึง และแบตเตอรี่สำรองเครื่องนึงก็ครบสามแล้ว (ส่วนใหญ่แบตเตอรี่สำรองไม่ให้อะแดปเตอร์มาด้วย) เวลาจะรีบ ๆ ออกไปข้างนอกไม่ต้องเสียเวลาร่วมครึ่งวันเพื่อนชาร์จทุกอย่างให้เสร็จอีกต่อไป
แต่ละพอร์ตว่างห่างกันมาก ถ้าไม่ได้ใช้ทั้ง 3 พอร์ตเราอยู่มุมไหนก็เสียบมุมนั้น ส่วนไฟจ่ายเป็น 2.1A ทุกพอร์ตทำให้ชาร์จได้เร็วที่สุดแล้ว แต่ถ้าใครกังวลว่ามันจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมหรือเปล่า? ขอบอกว่าไม่เกี่ยวครับวางใจได้แต่ถ้าเอาพวก 1A ไปชาร์จ 2.1A อันนี้มีปัญหาแน่นอนเพราะมันจะเกินกำลังของอะแดปเตอร์ทำให้พังเอาได้ง่าย ๆ เลย
สรุป : เป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์และโดนใจมาก ราคาไม่ได้สูงอะไรมากมายเลย หากเทียบกับราคากับอะแดปเตอร์ดี ๆ แล้ว แถมตัวนี้ยังใช้งานได้หลากหลายกว่ามาก เรียกได้ว่าขายค่าไอเดียและเทคโนโลยีรวมถึงความปลอดภัยสมกับเป็น “อุปกรณ์ชาร์จเปลี่ยนชิวิต” อย่างแท้จริง
ขอขอบคุณ : http://www.myinnergie.com, http://www.facebook.com/Innergie.Thai สามารถหาซื้อได้ตามผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ King Power, Koan, SVOA, Synnex และอื่น ๆ ในราคา 1,890 บาท
ผมว่าโอเคเลยนะตัวนี้ เพราะเหตุผลที่บอก ไอโฟนกับไอแพด ตัวชาร์จเบ้อเริ่ม ปลั๊ก 3 รู ใชได้จริงแค่ 2 เพราะเต้าชาร์จมันบดบังหมด
35 วัตถ์นี้ใช้ได้เลย
น่าสนแหะ
ซื้อปลั๊กสามตายาวๆก็ชาร์ทกลางบ้านได้นะ
แต่ความปลอดภัยไม่เหมือนกันนะครับ ปลั๊ก 3 ตาเป็นกระแส AC 220 Volt และยังต้องซื้อ Adapter แปลงอีก และก็ดีไซน์ความสะดวกในการใช้งานก็ไม่เหมือนกันครับ
ปลั๊ก 3 ตาต้องใช้ Adepter 3 ตัวน่ะ
แต่ผมว่ามันก็แพงไปอยู่ดี
แพงไป (เยอะ) ปลั๊ก สามตา ประโยชน์ใช้งานได้มากกว่า (เสียบ Notebook พัดลม เตารีด ) แต่อันนี้ลากมาเสียบแต่อุปกรณ์ที่เป็น usb ได้อย่างเดียว (คหสต)
คงตามความชอบน่ะครับ แต่ตอนนี้ผมเลือกตัวนี้มาใช้งานเพราะเหตุผลนิดหน่อย
1. ผมอยู่คอนโดเอามาวางบนที่นอนมันอุ่นใจกว่าเอาปลั๊กรางมาวางเยอะ (กลัวไฟดูดตาย)
2. ผมเป็นคนขี้เกียจเดินไปหยิบอะแดปเตอร์มาเสียบบ่อย ๆ
3. สายมันยาวลากได้หลายตำแหน่งดี ที่นอน โซฟา โต๊ะคอมฯ โต๊ะกินข้าว ไม่ต้องย้ายตำแหน่งบ่อย ๆ
เหตุผลสุดท้ายเลยคือผมมองมันเป็นอะแดปเตอร์มากกว่าปลั๊กราง เพราะถ้าซื้อดี ๆ ที่ iStudio ก็ราคาพันนึงแล้ว (แต่มันแถมสาย Sync ด้วย) แต่อันนี้จ่ายแพงกว่าประมาณไม่ถึงเท่าตัวแต่ได้พอร์ตชาร์จ 2.1A เต็ม 3 พอร์ตก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่ครับ
OK เลยสำหรับคนที่มี phone tablet และ powerbank
แต่ข้อสังเกตุนิดตรงสีและชนิดของ pvc ของสายไฟ จะเปื่อยเลอะง่ายเหมือนสายชาร์จ iphone มั้ย
น่าจะมีสีดำให้เลือกนะ 1,500 กำลังดี
ผมอาศัยอยู่ในเยอรมันครับ เดิมผมซื้อสายต่อระยะปลั๊กไฟ (ขนาด 3 เมตร ด้านนึงเป็นปลั๊กตัวผู้ขากลมแบบยุโรป ปลายอีกด้านเป็นเต้าตัวเมีย) จากร้านเครื่องไฟฟ้าทั่วไป เช่น Saturn, Media Markt มาใช้ต่อกับอแดปเตอร์ไอแพด จุดประสงค์ก็คือเพื่อให้เดินไปเดินมาได้ สายยาวขึ้น ฯลฯ ซึ่งก็ตอบโจทย์ผมได้ ในราคาที่ไม่แพงด้วย (4 ยูโร/180บาท) แต่ต่อมาผมต้องการสายต่อระยะที่มากขึ้นสำหรัชาร์จบหลายเครื่องพร้อมๆ กัน มันก็พอได้อยู่ แต่เริ่มมีความรกรุงรังขึ้นมาแล้ว เดินทางไปเที่ยวก็ต้องพกสายชาร์จไปหลายชุด ทั้งของผมของภรรยา ฯลฯ เลยลองซื้อ innergie นี่มาลองใช้ดู ชอบมากๆ เลยครับ
ทีนี้พอกลับไปเยี่ยมเมืองไทย ปรากฏว่าที่เมืองไทยถูกกว่าที่ยุโรปถึง 40% ผมเลยซื้อที่ฟอร์จูนนี่ละครับเอาไว้ให้คุณแม่และน้องสาวใช้อีกคนละชุดเลย ชอบกันมากๆ ทั้งคู่ เพราะเขามี devices คนละสองและยังมี external power bank อีก ก็รวมแล้วคนละสามอุปกรณ์ ผลก็คือก็ถูกจิตถูกใจกันไป คุณภาพดี ไฟแรง ชาร์จเร็วดีครับ (ต้องมีสาย lightning หรือ micro usb ที่ได้มาตรฐานด้วย จึงจะชาร์จได้ดี ครับ)