iPhone SE ทันทีที่ได้ข่าวเปิดตัวก็เป็นกระแสกันในโลกออนไลน์และ Pantip ด้วยราคาถูกเริ่มต้นที่ 16,800 บาท แต่ได้สเปคเท่ากับ iPhone 6s พร้อมตัดฟีเจอร์ 3D Touch ออกไป บวกกับขนาดที่หลายคนคุ้นเคยกันดีพร้อมสี Rose Gold ที่สร้างแรงจูงใจในการซื้อได้ไม่น้อย 5 เหตุผลที่จะทำให้ iPhone SE ขายดี (กว่าที่คิด) และในวันนี้ผมจะมา รีวิว iPhone SE ให้ได้ชมกันครับ
รีวิว iPhone SE
โดยปกติแล้วผมเองเป็นลูกค้า Apple มาตั้งแต่สมัย iPhone 4, 5, 6 (เครื่องสุดท้ายโดนล้วงกระเป๋าหายไป ซึ่งอย่าไปพูดถึงมันเลย) ด้วยความที่ iPhone 6 เองก็ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการใช้งานอยู่ แผนการซื้อ iPhone SE จึงไม่ได้อยู่ในหัว ถึงแม้ว่าจะอยากได้ก็ตาม แต่แล้วก็เหมือน พระเจ้าลงโทษ สวรรค์เป็นใจให้เรามาเจอกันทางเลือกในตอนนั้นจึงมีแค่
- iPhone 6s ราคา 24,500 บาท
- iPhone 6 ราคา 18,200 บาท
- iPhone SE ราคา 16,800 บาท
- iPhone 5s ราคา 11,500 บาท
ราคาด้านบนเป็นราคาตลาดโดยประมาณ ด้วยใจที่คิดว่า iPhone 7 มันจะต้องปฏิวัติวงการ แบบระเบิดป่าเผากระท่อมแน่ ๆ จึงพยายามมองหาราคาถูกอย่าง 5s มาใช้งาน แต่คิดไปคิดมาด้วยช่วงราคาต่างกันนิดเดียว บวกกับสเปคที่ห่างกันคนละโลก SE จึงเป็นคำตอบสุดท้าย
ตัวเครื่องที่ผมตัดสินใจซื้อคือสีชมพูด เหตุผลเพราะผู้ชายก็หวานได้ (ฮา) <<< อันที่จริงอยากซื้อให้คนทักมากกว่า ในเดือนที่แล้วของขาดหาซื้อไม่ได้แม้กระทั่งงาน Mobile Expo จะไปซื้อศูนย์ของก็ไม่มี แต่ถึงมีก็ต้องพ่วงโปรโมชั่น (ซึ่งโปรทุกเดือนที่ผมใช้มันลด 50% และก็พอใจอยู่แล้ว) เลยต้องการเครื่องเปล่ามากกว่า
สุดท้ายก็ไปลงเอยได้เครื่อง True ในกลุ่ม iPhonemod Market Thailand ของใหม่ครบกล่องอุปกรณ์ยังไม่ได้ใช้ (เจ้าตัวบอกว่าจับแล้วไม่ชอบใช้ไปสองอาทิตย์ก็เลยขาย) 64 GB ด้วยราคา 18,000 บาท ผิดแผนไปจากเดิมที่ต้องการ 16 GB แต่ก็ถือว่ายังโอเคเพราะเครื่องศูนย์ขาย 20,800 บาท ประหยัดไปได้ 2,800 บาท
วิธีเช็คเครื่อง
หากคุณเป็นคนซื้อเครื่องมือสองจำเป็นต้องเช็คอย่างละเอียดตามนี้ ซื้อ iPhone ต้องเช็คอะไรบ้าง สำหรับการเลือกซื้อทั้งเครื่องใหม่และมือ 2 เวอร์ชัน 2016 แต่ด้วยความที่ผมค่อนข้างเร่งรีบ (และขี้เกียจ) ถือคติว่าเครื่องมีประกันยังไงก็เคลมกับ True ได้อยู่ดี
วิธีเช็คว่าเป็นเครื่องศูนย์ไทย อย่างง่ายสุดคือกล่องต้องมีสกรีนสติ๊กเกอร์ภาษาไทย (ฮา) แบบด้านบน จากนั้นก็ดูว่ากล่องกับเครื่องรหัสตรงกันมั้ย (กันสลับเครื่อง) ผ่านทาง IMEI ด้านหลังเครื่องกับกล่องต้องตรงกัน แล้วที่เหลือก็เปิดเครื่องลอง Restore ดูว่าไม่ถูกล็อค iCloud เป็นอันผ่านจ่ายเงินเรียบร้อย
แกะกล่องมาเป็นอุปกรณ์เสริมมาเหมือนกับไอโฟนรุ่นทั่วไป ตรงนี้คนขายบอกไม่เคยใช้เพราะใช้แต่อุปกรณ์เก่า ด้วยความที่ผมเชื่อคนง่ายก็เลยว่ากันตามนั้น แต่หากว่ากันด้วยเรื่องความคุ้มค่า iPhone SE ราคา 16,800 บาท ด้วยอุปกรณ์เสริมทั้งหมดที่แถมมานั้นตีราคาได้ดังนี้
- Apple EarPads มูลค่า 1,200 บาท
- USB Power Adapter มูลค่า 790 บาท
- Lightning to USB Cable มูลค่า 790 บาท
อุปกรณ์เสริม ทั้งหมดเทียบราคาจากเว็บไซต์ Apple โดยถ้าหากคุณเป็นคนคิดบวก ก็เท่ากับว่าเครื่องราคาแค่ 14,020 บาท (เอง) เผื่อใครใช้ไอโฟนรุ่นโบราณอยู่แล้วอุปกรณ์เสริมพัง + หายหมดแล้ว กำลังจะซื้ออุปกรณ์เสริมใหม่ยกชุด แนะนำให้เอาเครื่องเก่าไปขายทิ้งแล้วบวกตังค์ซื้อ iPhone SE โดยอ้างกับเมียตามตรรกะด้านบน
หลังจากจับ iPhone SE มาหลายวันเต็ม ๆ ด้วยการใช้งานถึงแม้จะอยู่บนพื้นฐาน iOS เหมือนกับเครื่องเก่า แต่ต้องยอมรับว่ามันค่อนข้าง “แตกต่าง” กันพอสมควร ในการปรับพฤติกรรมการใช้งานจากจอใหญ่ > จอเล็ก แต่เนื่องด้วยผมเคยใช้ iPhone 5 มาก่อนเลยไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเครียดนัก เว้นแต่ตอนดูหนังที่มันไม่ค่อยเต็มตานั่นเอง
ส่วนเรื่องความแรก SE เร็วกว่า 5s สองเท่า (และสามเท่าหากวัดที่กราฟฟิก) นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโปรเซสเซอร์ร่วม M9 รองรับการนับจำนวนก้าวและระยะทาง และยังช่วยให้ใช้งาน Siri ได้ง่ายๆ เพียงพูดว่า “หวัดดี Siri” โดยไม่ต้องหยิบ iPhone ของคุณขึ้นมาด้วยซ้ำ
ตัวเครื่องและวัสดุงานประกอบ Apple ยังทำออกมาได้ดีเช่นเคย ทุกอย่างดูเหมือนจะสมมาตรกันไปหมด ดูไม่ค่อยขาดเกินเหมือนสมาร์ทโฟนหลายแบรนด์ โดยเฉพาะเลนส์กล้องที่ไม่นูนอันนี้คือสิ่งที่ชอบและหลงรักมาโดยตลอด
แบตเตอรี่ที่ให้มา 1,642 mAh ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไป (Android รุ่นไหนให้เท่านี้รับรองโดนด่าเละ) ข้อดีก็คือชาร์จแบตเตอรี่เต็มไวโดยไม่ต้องพึ่ง Quick Charge แถมไม่เปลือง Power Bank ความมหัศจรรย์ของ SE อยู่ที่ชิปจัดการพลังงาน ทำให้มันสามารถใช้งานได้นาน 13 ชั่งโมง แต่เอาเข้าจริงคือมันก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน “ทั้งวัน” โดยไม่ต้องชาร์จบ่อย ๆ เหมือนสมัย iPhone 5s
พอร์ตด้านล่างที่แสนจะคุ้นเคย คุณอาจตามล่าหา Docking หรือลำโพงราคาถูกที่มันออกแบบมาเฉพาะสำหรับ iPhone 5 โดยก่อนหน้านี้ราคามัน “หลักหมื่น” และถ้าไปซื้อตอนนี้อาจได้ในราคา “หลักพัน” นอกจากนี้ยังรวมถึงเคสและอุปกรณ์เสริมสารพัดที่ค้างสต๊อกและมีราคาถูกมาก สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้
ขนาดของเครื่องที่บางและเบาเหมาะกับผู้ชายที่ไม่ชอบพกอะไรเยอะแยะ ด้วยขนาดแบบนี้หากคุณเป็นคนดิบ ๆ ลุย ๆ แบบผมอาจเลือกไม่ใส่เคส (ราคามันไม่แพงด้วยเลยไม่เสียดายมาก) สามารถใส่กระเป๋ากางเกงได้โดยไม่ตุงให้เสียบุคคลิก การใช้งานทั้งหมดสามารถทำได้ด้วยมือเดียว
น้ำหนัก 113 กรัม จึงสามารถทำให้เราพลิก/เลื่อน/ดีดเครื่องในมือได้อย่างง่ายดาย หน้าจอขนาดเล็กและตัวเครื่องที่แข็งแรง จากประสบการณ์มันเป็นหนึ่งในรุ่นไอโฟนที่ทนที่สุดและซ่อมง่ายที่สุด (หากไม่นับ iPhone 4) ขนาดหน้าจอที่เล็กลงช่วยลดอัตราการ “จอแตก” เมื่อทำหล่นลงพื้น
สิ่งที่ iPhone SE ไม่มี
ในเรื่องของระบบไร้สายถึงแม้ว่าจะมี Wi-Fi มาตรฐาน 802.11a/b/g/n/ac, เทคโนโลยีไร้สาย Bluetooth 4.2, และ NFC ไม่ต่างกันแต่ iPhone SE ไม่รองรับ 4G Advanced และสามารถทำความเร็วได้สูงสุดเพียง 150 Mbps และ Wi-Fi 433 Mbps (ในขณะที่ iPhone 6s ทำความเร็วได้สูงสุดเพียง 300 Mbps และ Wi-Fi 866 Mbps) แต่ตรงนี้หากใครคิดว่ามันเป็นเรื่องของอนาคตก็ไม่ว่ากัน
นอกจากนี้ยังไม่มี 3D Touch แต่ส่วนตัวผมมองว่าสิ่งนี้ในเวลานี้ยังเป็นแค่ “ลูกเล่น” ไม่ใช่ฟีเจอร์หลักที่สำคัญอะไร และนอกจากนี้ก็ยังไม่มี Barometer ซึ่งใช่วัดความกดอากาศ (ต่างจาก 6 และ 6s ที่มี)
ขนาดนี้หน้า 4″ เป็นขนาดที่ดีที่สุดตามที่สตีฟเคยบอก ด้วยความละเอียดระดับ Retina Display (326 ppi) โดยตามนุษย์ไม่สามารถแยกออกได้อีกแล้วถึงพิกเซล (ผมเองก็คิดเช่นนั้น) แค่ค่าตามสเปคที่ได้คือ Contrast Ratio 800:1 นั่นหมายความว่าคุณอาจเห็นความสว่าง และมิติที่ลึกน้อยกว่า iPhone 6, 6 Plus, 6s, 6s Plus แต่พอผมใช้งานจริงก็ไม่ค่อยรู้สึกว่ามัน “สวยน้อย” กว่ากันเท่าไหร่
กล้อง
สรุปภาษาชาวบ้านคือ กล้องหลัง = iPhone 6s, กล้องหน้า = iPhone 5s และไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางการออกแบบ หรือเรื่องของการตลาดก็แล้วแต่ (ผมเชื่ออย่างแรกมากกว่า ไม่งั้นกล้องหลังคงห่วยกว่านี้) เปรียบเทียบภาพถ่ายจาก iPhone 6s กับ SE แล้วก็รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K และ Live Photos จากผลพลอยได้ของหน่วยประมวลผล A9
สรุป
หากคุณยังศรัทธากับขนาดหน้าจอ 4″ และยังเห็นมันเป็นข้อดี (เหมือนผม) มีความเป็นไปได้ 90% ที่คุณจะหลงรัก SE บวกด้วยราคาที่ถูกมากยิ่งขึ้นไปอีก กับประสิทธิภาพที่เทียบเท่า 6s รุ่นปัจจุบันในขณะที่ราคาที่ถูกกว่า 9,700 บาท (แต่ตัดฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นอย่าง 3D Touch และ Barometer ออกไป)
ส่วนเรื่องกล้องหน้าในฐานะผู้ชายที่ไม่ชอบ Selfie ผมเองก็ไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่ แต่พอถึงคราวต้องใช้ก็ต้องยอมรับว่ากล้องหน้ามันยังดีกว่า Android หลายรุ่นด้วยซ้ำ (ติดแค่เรื่องการถ่ายในที่แสงน้อยที่สู้ไม่ได้เลย) สามารถอัปโหลดแชร์ได้โดยไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
อนาคตเชื่อว่า SE จะได้รับการอัปเดทยาวนานเทียบเท่า 6s และเมื่อเวลาผ่านไปราคาอาจตกน้อยกว่า (เพราะช่วงราคาเปิดตัวที่ต่ำกว่า) หากคุณใช้งาน 6 หรือ 6s อยู่อาจไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็นคนใช้ 5s หรือเก่ากว่า ณ ตอนนี้ SE คือตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด