สำหรับหลายคนที่มี iPad อยู่ในมือแล้วคิดว่ามันทำงานแทน Notebook ได้ (ผมก็ใช้อยู่นะ) แต่ติดตรงที่ยังหาคีย์บอร์ดดี ๆ มาใช้งานร่วมด้วยไม่ได้ นอกจากจะมีน้อยแล้วยังไม่มีการสกรีนภาษาไทยลงบนคีย์บอร์ดอีก วันนี้ผมจะมารีวิวผลิตผลจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Moshi ให้ได้ดูกันครับ
Moshi VersaKeyboard สามารถหาซื้อได้ตาม iStudio, iBeat และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ ราคาประมาณ 3,400 บาท สามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ ที่นี่
ตัวเคสคีย์บอร์ดตัวนี้ออกแบบมาสำหรับใช้กับ iPad Air (เท่านั้น) สามารถปรับองศาการทำงานได้ถึง 3 แบบ
- Typing Angle 40°
- Reading Angle 50°
- Movie Angle 60°
ถือว่าครอบคลุมการใช้งานในหลายระดับเลยทีเดียว ต่างจากแบรนด์ตัวไปที่ส่วนใหญ่จะพับได้แค่ระดับเดียว แต่เมื่อเทียบกับค่าตัวก็คงต้องยอมรับว่าแพงเอาการอยู่เหมือนกัน คงต้องดูหลายปัจจัยเทียบกัน
มีตัวอักษรภาษาไทย (TH Layout) นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ยังจิ้มดีดอยู่ ส่วนตัวผมสามารถพิมพ์สัมผัสได้อยู่แล้วเลยไม่ค่อยซีเรียสอะไรเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่า Moshi เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่มีการสกรีนอักษรภาษาไทยลงไป แสดงว่าเขาค่อนข้างจริงจังที่จะทำตลาดในบ้านเรา (สกรีนไปแล้วของเหลือเอาไปขายที่โซนอื่นไม่ได้นะ)
สำคัญมากโปรดระวัง Moshi ปลอม !!!
สำหรับวิธีการดูของปลอมตามที่เคยกล่าวไว้ด้านบนนั้น หลักการดูง่าย ๆ เพียงแค่พลิกกล่องด้านหลัง ซึ่งจะมีสติกเกอร์โฮโลแกรม ที่จะมากับทุกกล่องของผลิตภัณฑ์ Moshi ส่วนวิธีทดสอบขั้นง่ายมากเพียงแค่ขูดเบา ๆ ก็จะได้รหัสชุดหนึ่งมา (Authentication Number) จากนั้นเอาไปตรวจสอบที่ http://www.moshimonde.com/registration.aspx ได้เลย
มาดูสเปคของมันกันต่อ ในส่วนของคำสั่งพื้นฐานบน iPad ทาง Moshi ได้ยัดเอาทุกอย่างเท่าที่ผมนึกได้ใส่ลงมาไม่ว่าจะเป็น Home, Onscreen Keyboard, Select All, Select Left + Right, Cut, Copy, Paste, Play/Pause, Mute, Volumn Donw + Up, Bluetooth Pairing, Swithch Language/Battery Life, Lock Screen อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด
หลายปุ่มแทบไม่ได้ใช้หรือใช้คำสั่งอื่นทดแทนได้ด้วยซ้ำ เช่น Cut, Copy, Paste ล้วนใช้คำสั่ง Command เป็นตีย์ซ้อนได้ทั้งสิ้น แต่มีไว้ก็อำนวยความสะดวกดีสิ่งที่ผมกังวลจริง ๆ คือมันจะทำให้ปุ่มภาษาเล็กลงเสียเปล่า
อุปกรณ์ที่แถมมามีเพียงสาย Micro USB เส้นเดียวสำหรับชาร์จไฟ Moshi VersaKeyboard เท่านั้น (ตัวนี้ใช้เวลาชาร์จเต็มประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง) ส่วนใช้งานจริงค่อนข้างอึดหากพิมพ์แค่วันละ 2 ชั่วโมงจะใช้งานได้เกือบ 2 เดือนเลยทีเดียว
ด้านในเป็นพลาติกน้ำหนักเบาและบางมาก ๆ ครับ
ด้านหลังมีป้ายโลหะ Moshi ติดอยู่เอาไว้สำหรับล็อคติดกับแม่เหล็กบน Cover เวลาเปิดฝา
ขนาดและน้ำหนักอยู่ในระดับกำลังพอดีประมาณ 380 กรัม
คีย์บอร์ดที่เห็นเกาะอยู่ด้านหลังค่อนข้างแข็งแรง และสามารถแกะออกมาเพื่อแยกเป็นอิสระได้ (ตอนแกะก็ลำบากอยู่)
หันกลับมาดูตัวเคสจะเห็นได้ว่ามันค่อนข้างบางมากจริง ๆ ครับ ทำมาจาก Polycarbonate ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอยากที่จะต้องการลดน้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่อง
ทดสอบติดตั้งไปพร้อมกับ iPad Air สีขาวของผม (จริง ๆ ถ้าเป็นสีดำน่าจะหล่อกว่านี้) ก็สามารถใส่ได้พอดีเป๊ะ ๆ ตามสัดส่วนที่คำนวณมาอย่างดี
พอวางดูแล้วก็อยู่ดีนะครับ น้ำหนักสมดุลดีถึงแม้ว่จะรู้สึกแปลก ๆ ไปหน่อย
พอเปิดฝา Cover ออกก็สามารถติดอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง เวลาถืออ่านมือเดียวแล้วไม่รู้สึกว่ามันเกะกะแต่อย่างใด
ทดสอบใช้งานจริง
หลายคนคงรู้ว่าผมเป็นคนติด Keyboard บน iPad มาก ๆ แล้วก็ลองมาหลายแบรนด์แล้ว ที่ติดใจมาก ๆ เลยก็เป็นของ ZAAG แต่ว่ามันหาซื้อยากแล้วทีนี้มาลองของ Moshi ดูบ้าง
สัมผัสแรกที่เห็นผมรู้สึกว่ามันเล็กแบบกระทัดรัดมาก ๆ เบาขนาดสามารถแยกเก็บได้เลย แทบไม่รู้สึกถึงความมีตัวตนของแบตเตอรี่ภายใน
ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวเลยคือ “ถ้า iPad Air ตกรุ่นเราก็ยังเอา Keyboard ไปใช้กับเครื่องใหม่ได้ต่อ”
สกรีนภาษาไทยออกมาได้ครบถ้วนและสวยงาม ดูเหมือนภาษาอังกฤษจะดูขวางเกะกะไปนิดแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ Layout นี่แทบจะถอดแบบออกมาจาก Notebook เลย คงไม่มีปัญหาเรื่องการปรับตัวเท่าไหร่นัก
แต่การปรับองศาได้หลายระดับแบบนี้ก็มีประโยชน์อย่างหนึ่งตรงที่บางครั้งเราไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟต่าง ๆ เราเลือกไม่ได้ที่จะได้โต๊ะสูงหรือโต๊ะต่ำ ซึ่งมันช่วยให้เราเปลี่ยนอิริยาบถได้มากเลยทีเดียว
ตัว Cover ถูกออกแบบมาให้สามารถพับและตั้งได้หลายระดับอย่างที่กล่าวในตอนต้น เป็นการขายที่ Feature แต่ลดความเป็น Simple ลงไปขนาดที่ผมลองพับหลายครั้งก็ยังจำไม่ค่อยจะได้ซักเท่าไหร่
น้ำหนักโดยรวมถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับเคสคีย์บอร์ดทั้งหมดที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน
เวลาถือแล้วเข้าลงล็อคกับนิ้วมือเป็นอย่างยิ่ง เหมาะสำหรับคนที่ต้องพิมพ์งานหรือตอบเมล์ลูกค้าบ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งเรื่องเล่นอย่าง Social Media ก็ทำได้สะดวกขึ้นครับ
ด้านหน้าก็ปกป้องหน้าจอได้เป็นอย่างดี โดยรวมผมค่อนข้างชอบมันนะ ติดแค่ว่าเวลาพิมพ์แป้นมันตัวเล็กไปหน่อยทำให้เร่งความเร็วไม่ค่อยได้ แล้วก็พิมพ์ผิดบ่อยไปนิดเหมือนกับว่า Layout เดิมมันออกแบบมาเพื่อภาษาอังกฤษมากกว่า
เพื่อให้เห็นการใช้งานโดยรวมแบบคร่าว ๆ ลองมาดู VDO แนะนำจากผู้ผลิต Moshi ดูครับ
สรุป : ทำออกมาได้พกพาสะดวกและไม่รู้สึกเกะกะเลยแม้แต่น้อย เก็บรายละเอียดได้ดีมากครับ แบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้ยาวนานแรมเดือนแบบหายห่วง หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้พิมพ์เร็วมากมายอะไรนักจะตอบโจทย์มากเลย
แต่สำหรับคนที่พิมพ์สัมผัสได้ไวมากแนะนำเป็น Apple Wireless Keyboard จะตอบโจทย์กว่า แต่ทั้งนี้มันก็ต้องแลกมาด้วยน้ำหนักและความเกะกะด้วยครับ
ขอขอบคุณ : Moshi Thailand ที่เอิ้อเฟื้อสินค้าคุณภาพมาให้ทีมงานได้ทดสอบ หากท่านสนใจสินค้าสามารถหาซื้อได้ตาม iStudio, iBeat และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ