สืบเนื่องมาจากงาน ประชาสัมพันธ์ : Motorola เปิดตัว Xoom และ Atrix อย่างเป็นทางการในประเทศไทย คราวที่แล้ว พริตตี้สวยมาก งานนั้นได้มีการเปิดตัวทั้ง Xoom และ Atrix ซึ่งสเปคทั้ง 2 ตัวนั้นค่อนข้างที่จะละม้ายคล้ายกันก็คือเป็น Dual Core โดยส่วนตัวแล้วชีวิตนี้นอกจาก iPad2 แล้วผมแทบจะไม่เคยสัมผัสมือถือ Dual Core เลยยกเว้น LG Optimus 2X โดยอ่านได้ใน รีวิว – (สัมผัสแรก) LG Optimus 2X ผู้ท้าชนคนใหม่ของ iPhone4 ซึ่งก็ถือว่าประทับใจระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีข้อให้ติบ้าง เนื่องจากส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ ROM ที่ยังดีไม่พอ ซึ่งในวันนี้เราก็จะมาดูกันว่า Motorola Atrix จะถูกใจผู้อ่านกันหรือไม่? (อาจจะไม่เกี่ยวกับ iPhone แต่ผมก็ยังยินดีที่จะเสนอข้อมูลให้กับทุกท่านได้รับชมครับ)
โฉมแรกเลยเป็นกล่องสำหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งเขียนอย่างเด่นชัดกว่า Motorola Atrix with Motoblur ซึ่งดูเหมือนว่าทาง Motorola จะชูจุดขายของ Blur (Software สำหรับรวม Social Network ของ Motorola)
ด้านข้างของกล่อง ขนาดความหนาของตัวเครื่องนั้นจะพอ ๆ กับ iPhone4 แต่หน้าจอจะใหญ่กว่า
สเปคด้านหลัง ที่เด่น ๆ เลยคือเป็น Dual Core, 4qHD Display, Fingerprint, 1GB RAM สเปคที่ให้มานับว่าสูงมาก ๆ แต่สำหรับปัจจุบันอาจจะไม่สูงเวอร์แต่อยู๋ระดับสูงนิด ๆ ไม่ค่อย HiEnd ซักเท่าไหร่ หน้าจอขนาด 4″ ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานและเล่นเกม แต่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับผมคือ “สแกนลายนิ้วมือ !!!”
จุดเด่นของ Motorola Atrix ที่เป็นขุดขายอีกอย่างหนึ่งคือการเชื่อมต่อ ที่สามารถพ่วงกับอุปกรณ์เสริมอื่นได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Wireless Keyboard, HD Multimedia Dock, Standard Dock, Lapdock, Vehicle Dock
ด้านหน้ากับจอใหญ่ ๆ เงา ๆ เท่ห์ ๆ ระดับ qHD Display (ผมขออนุญาตคัดลอกจากบทความเก่ามาเลยแล้วกัน)
คุณลักษณะที่สำคัญของ Motorola ATRIX
- โปรเซสเซอร์ดูอัล คอร์ 1GHz รองรับการเปิดเว็บเพจได้รวดเร็วกว่าสมาร์ทโฟนอื่น ๆ ถึงสองเท่า ทั้งยังแสดงผลเกมส์และวิดีโอ HD ได้รวดเร็วมากขึ้นบนจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่
- หน่วยความจำแรม 1GB มากกว่าสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ถึงสองเท่า เพื่อรองรับการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน (multitasking) ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เช่น ชมภาพยนตร์ขณะที่รับส่งอีเมล์
- ครั้งแรกในโลกกับจอแสดงผล qHD สำหรับสมาร์ทโฟน ด้วยความละเอียดสูง และระดับสี 24 บิต เพิ่มความสะดวกในการอ่านข้อความทั้งภายในและภายนอกอาคาร
- ตัวเครื่องบางเฉียบน้อยกว่า 11 มม. ด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 1930mAh ช่วยให้สนทนาและใช้งานได้ยาวนานกว่า
- กล้องด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมความสามารถในการบันทึกภาพ HD
- การตรวจสอบลายนิ้วมือ เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัย
- พื้นที่เก็บข้อมูล 48GB (พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่อง 16GB และการ์ด MicroSD ความจุ 32GB) – จัดเก็บเพลง ภาพถ่าย และภาพยนตร์ได้หลายพันรายการ
อุปกรณ์ที่แถมมากับเครื่อง
- โทรศัพท์มือถือ (อ่ะ… แน่นอน)
- แบตเตอรี่ Li-Ion 1880 mAh
- ที่ชาร์จแบตเตอรี่
- ชุดหูฟังพร้อมฟองน้ำ
- สายต่อ micro USB
- สายต่อ Mini HDMI to HDMI (หลาย ๆ ยี่ห้อไม่แถม อันนี้คุ้มมาก ๆ)
- คู่มือแนะนำการใช้งาน (2 ภาษา ไทย/อังกฤษ)
- คู่มือแนะนำด้านความปลอดภัย
- ใบรับประกันสินค้า
- บัตรรหัสการใช้งาน Moto blur (ลืมถ่ายมา)
สาย Mini HDMI to HDMI อันนี้เป็นของ Motorola เอง คุ้มมาก ๆ และสวยด้วย ดูแข็งแรงทนทานดี เท่าที่ทดสอบเป็น HDMI 1.4 ความยาวไม่มากมายนัก พอเสียบต่อกับ TV แล้ววางไว้ข้าง ๆ ได้สบาย ๆ
หน้าจอเสียดายที่เป็น TFT แต่ยังโชคดีที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ เลยทำให้ดูกว้างขวางสบายตา มี Widget ที่สวยงามมาพร้อมกับ Motorola Blur หน้าจอนั้นเป็นระบบสัมผัสความละเอียด 960 x 540 พิกเซล กว้าง 4.0 นิ้ว ทำให้ใช้งานได้สะดวกสบายมาก
ด้านล่างเป็น 4 ปุ่มมหัศจรรย์ประกอบไปด้วย ปุ่ม Setting, Home, Back, Search เป็นมาตรฐานของ Android ทั่ว ๆ ไป เมื่อกดจะมีไฟสีขาวสว่างออกมา
ส่วนบนของเครื่อง ทางด้านขวาจะมีเซนเซอร์จับแสงจำนวน 2 ตัว คือ Ambient light สำหรับใช้ตรวจจับแสงปรับความสว่างอัตโนมัติ และ Proximity สำหรับใช้เป็นระบบเปิด/ปิดหน้าจออัตโนมัติขณะสนทนา และด้านซ้ายเป็นกล้องหน้าสำหรับ VDO Call และถ่ายภาพ
ด้านข้างของเครื่องนั้นบางมาก ๆ ขนาดพอ ๆ กับ iPhone4 มีปุ่มปรับเสียงอยู่ตรงด้านขวา
ด้านบนของเครื่องมีกล้องระดับ HD VIDEO 5MP พร้อมแฟลช และด้านบนมี Fingerprints และรูเสียบหูฟัง
ด้านข้างอีกฝั่งหนึ่งมีช่องสำหรับเสียบ Micro USB และ Mini HDMI
มีสแกนลายนิ้วมือด้านบน ถัดมาจะเป็นส่วนของกล้อง 5MP และแฟลชจำนวน 2 ตัว
จุดด้านข้างเป็นพอร์ทสำหรับเชื่อมต่อ Micro USB และ Mini HDMI สำหรับเชื่อมต่อออกหน้าจอภายนอก
ส่วนด้านล่างจะเป็นช่องสำหรับลำโพงซึ่งให้เสียงที่ดังเกินตัวนิด ๆ พอฟังเพลงแก้เซ็งได้นิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับขนาดที่ว่าดังมาก
กล้องความละเอียด 5MP พร้อมแฟลช LED 2 ตัว โดยภาพที่ถ่ายนั้นจะได้ขนาดสูงสุดถึง 2592 x 1944 พิกเซล ส่วน VDO นั้นจะได้ถึงระดับ 720P สามารถปรับเป็น WideScreen ได้ด้วยนะ (ไปที่กล้องเลือก Setting แล้วปรับเป็น WideScreen จะได้เต็มพอดีจอ)
ด้านหัวเครื่องเป็น Fingerprints (สแกนนิ้วมือ) และด้านถัดไปเป็นช่องหูฟัง 3.5 mm ครับ ซึ่ง Fingerprints นั้นผมชอบมากที่สุดในตัวนี้เลย เพราะนอกจากมันจะเท่ห์แล้วยังสามารถใช้งานได้จริงด้วย สแกนติดง่ายมาก ๆ อีกทั้งยังสามารถสแกนได้ทั้ง 2 นิ้ว (ซ้ายและขวา) ซึ่งทาง Motorola ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยมาก ๆ หากไม่ใช่ผมแล้วไม่มีสิทธิเปิดเครื่องได้เลย แต่ถึงเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เช่น นิ้วขาด นิ้วเป็นแผล ก็ยังสามารถที่จะปลดล็อคเครื่องได้โดยการใส่ Password (รหัสผ่าน)
ด้านหลังของเครื่องนั้นเป็นที่ใส่แบตเตอรี่ขนาด 1880 mAh แต่อย่างที่ผมกล่าวในตอนแรกคือว่าตัว Atrix นั้นสามารถใส่แบตเตอรี่ได้ 2 ความจุคือ 1880 mAh และ 1930 mAh ซึ่งตัวที่ผมได้นั้นเป็น 1880 mAh จึงขอเดาว่าตัว 1930 mAh นั้นเป็นเฉพาะของรุ่น 4G ที่ไม่มีขายในบ้านเรา ส่วนถัดลงมานั้นเป็นช่องใน Sim ขนาดมาตรฐานและช่องเสียบการ์ด Micro SD
ส่วนอันนี้ไม่มีแถมในชุด Atrix นะครับ ต้องซื้อแยกเอาต่างหากโดยชิ้นนี้มีชื่อว่า HD Multimedia Dock โดยนอกจากชุดนี้แล้วยังมี Wireless Keyboard, Standard Dock, LAPDOCK (อันนี้จุดขายเลย เสียบปุ๊บแปลงร่างเป็น Laptop), Vehicle Dock ซึ่งสำหรับ LAPDOCK นั้นน่าเสียดายมาก ๆ ที่ผมยังหามารีวิวไม่ได้เลย
ตัว HD Multimedia Dock นั้นมีช่องสำหรับเชื่อมต่อถึง 5 ช่อง โดยมี Mini HDMI และ USB อีก 3 ช่อง ส่วนอีกช่อง(น่าจะ)เป็นช่องต่อลำโพง
ตัว HD Multimedia Dock นั้นต้องการไฟเลี้ยงขนาด 12v – 1.5A ด้วยนะ ไม่งั้นจะไม่สามารถทำงานได้
เมื่อเสียบตัว HD Multimedia Dock แล้วหน้าตาจะเป็นแบบนี้ ช่องเสียบ USB นั้นค่อนข้างที่จะห่างพอสมควร ดังนั้นจึงหมดห่วงได้ว่าช่อง USB นั้นจะเบียดกัน ส่วนช่องด้านขวาสุดน่าจะเป็นช่องต่อหูฟังหรือลำโพง อันนี้ผมเดานะ ผิดถูกประการใดขออภัยด้วย
เมื่อเสียบตัว HD Multimedia Dock แล้วเครื่องจะตั้งเอียงเล็กน้อยสวยงามแบบนี้ ยิ่งเปิดเว็บดี ๆ อย่าง iPhoneMod.net ยิ่งแจ่มไปเลย ^^
อีกมุมหนึ่งครับ สวยงามน่าซื้อมาเชื่อมต่อดีจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแถมในชุด (แต่ส่วนหนึ่งผมเชื่อว่า การไม่มีแถมในชุดมันทำให้ราคาถูกลง จนเอื้อมถึงได้) โดยใครชอบ Dock ตัวไหนก็ไปหาซื้อเอาแต่เฉพาะอันที่ตัวเองชอบได้เลย
เท่านั้นยังไม่พอตัว HD Multimedia Dock นั้นได้มาคู่พร้อมกับรีโมทโดยเฉพาะของ Motorola Atrix (ไม่งั้นเดินไปกด ไปเลือกเองคงเหนื่อยแย่) สามารถใช้ควบคุมหนัง หรือเพลงได้เลย เพียงแค่กลับมาบ้านเสียบ HD Multimedia Dock ปุ๊บ ชาร์จไฟปั๊บ เล่นเพลงสบาย ๆ ชิว ๆ ไปเลย
ตัวรีโมทนั้นต้องการแบตเตอรี่แบบกระดุมดังภาพ น่าจะเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใส่ใน Mainboard หาซื้อได้ตามห้าง IT ทั่วไปไม่ยากราคาก้อนละไม่กี่สิบบาท ดังนั้นสบายหมดห่วง ตัวแบตเตอรี่นั้นใช้ได้นานแรมปีครับ ไม่หมดกันง่าย ๆ ผมทดสอบแล้ว
สรุป Motorola ATRIX
โดยจุดเด่น ๆ ของ Atrix คือ มันเป็นมือถือที่แปลงร่างได้หลาย ๆ อย่าง มี Option เสริมเยอะ ทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนจำพวกหุ่นยนต์ที่ผมดูในสมัยเด็ก ที่แปลงร่างเปลี่ยนเป็นโหมดต่าง ๆ ได้ (ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาเลย – -x) วัสดุเครื่องค่อนข้างเนื้อแน่นดุจทุเรียนหมอนทอง ราคาอยู่ที่ 19,900 บาท สำหรับผมมันไม่ถูก ไม่แพง และไม่น่าสนใจ (พูดกันตรง ๆ เลย สำนักข่าว iPM ก็งี้แหล่ะ = =”) แต่สำหรับหลาย ๆ คนที่เป็นแฟน Motorola คงจะชอบกันทีเดียว แต่ในใจผมว่าเล่น Defy ดีกว่า ไม่รู้สิ หรือผมจนนะ XD ทาง Motorola เหมือนพยายามจะบอกว่า พวกสูจงพก Atrix เครื่องเดียวพอ เพราะมันเป็นอะไรที่อรรถประโยชน์มากเลย เสียบ Dock สุดเมพเอา ซึ่งผมก็ชอบนะของเล่นพวกนี้ เพราะมันสร้างความสนุกสนานให้ผมดี (ที่สำคัญประกอบไปมามันเท่ห์มาก ประมาณว่ามือถืออะไรแรงจัง) แต่สุดท้ายแล้วถึงทาง Motorola จะบอกว่าเราไม่ต้องพก Netbook แต่ว่า Dock ของมันก็คือ Netbook ดี ๆ นี่เอง มีคีย์บอร์ด มีแบตฯ เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์ไส้ในอย่างพวก CPU, RAM, HDD เท่านั้นเอง แนะนำได้คำเดียวว่าราคาแพงไปนิด ส่วนใครอยากได้จริง ๆ คงห้ามไม่ได้ แต่อยากให้ซื้ออุปกรณ์เสริมมันให้ครบชุดครับ เพราะไหน ๆ มือถือก็แพงแล้ว ก็ซื้อให้มันแพงสุด ๆ ไปเลย ก็ซื้อให้มันใช้งานได้ครบชุดไปเลยน่าจะดีที่สุด ^^”
ขอขอบคุณ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สำหรับเครื่องทดสอบ
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
บทความหายไปครึ่งนึงแน่ะ เดี๋ยวขอแก้ไขก่อนนะครับ