เหล่าบรรดา CEO ของพลเมือง Silicon Valley ต่างพร้อมใจกันมาแสดงจุดยืนเกี่ยวกับ Trump พร้อมการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการ “ห้ามพลเมืองเจ็ดประเทศเข้าสหรัฐโดยเด็ดขาด” และนี่คือวิธีการที่ผู้บริหารแต่ละบริษัทออกมาตอบโต้ (โดยไล่ลำดับความรุนแรง)
STRONG
Box กล่าวตำหนิว่ามันไม่ถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม, เศรษฐกิจ, ตรรกะ, และการกระทำนี้ไม่ถูกต้องตามหลักของอเมริกันชน
Lyft ตลอดประวัติศาสตร์ของเรา Lyft ได้ทำงานอย่างหนักในการรวมเชื้อชาติความหลากหลาย ในการสร้างชุมชนที่มีทั้งคนขับและผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังให้คำมั่นว่าจะบริจาค $1 ล้านเหรียญให้กับหน่วยงาน ACLU
Netflix ประนามนโยบายครั้งนี้ว่าเป็น “สัปดาห์ที่น่าเศร้าใจ” ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำร้ายพนักงาน Netflix ทั่วโลก นอกจากนี้ยังให้ความเห็นอีกว่าการกระทำดังกล่าว จะทำให้อเมริกามีความไม่ปลอดภัยหนักกว่าเดิม
Salesforce เรียกร้องให้ยุติการแบนบนทวิตเตอร์ นอกจากนี้เขายังได้รีทวีตจำนวนโพสต์ที่สำคัญหลายคำสั่งของผู้บริหาร
Slack ได้ทำการกระหน่ำโพสต์ เกี่ยวกับการห้ามเกือบทุกการกระทำที่ไม่จำเป็น มันเป็นความชั่วร้าย นอกจากนี้เขายังเคยได้กล่าวเกี่ยวกับวิธีที่ปู่ย่าตายายของเขามาหลบภัยในอเมริกา “เราเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น” เขากล่าว
Uber ให้คำมั่นว่าจะชดเชยรายได้ให้กับผู้ขับที่ติดอยู่ในต่างประเทศ และก่อนหน้านี้มีการกระประท้วงหยุดขับ 1 ชั่วโมงโดยคนขับ TAXI ชาวพื้นเมืองที่สนามบิน แต่ทาง Uber กลับใช้วิธีทางการตลาดด้วยการยกเลิกค่าชาร์จพิเศษในตอนนั้น ส่งผลให้หลายคนมองเขาไม่ค่อยดีนัก
Y Combinator นักลงทุนด้าน IT ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Airbnb, Dropbox, Stripe และอื่น ๆ ได้ให้ความเห็นว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ โดยการบริหารงานนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาจะไม่ประทับใจ ดังนั้นเราจึงต้องคัดค้านหรืออยู่เฉย โดยเราสามรถใช้สิทธิของเรา
Airbnb ก็ประนามการห้ามคนเข้าเมืองเช่นกัน โดยทางบริษัทฯ จะยืนอยู่เคียงข้างผู้ได้รับผลกระทบ และเสนอที่อยู่อาศัยให้ฟรีสำหรับทุกคนที่ไม่ได้รับอนุญาตในประเทศสหรัฐอเมริกา
MEDIUM
Apple กล่าวในฐานะผู้บริหารว่า “ไม่ได้เป็นนโยบายที่เราสนับสนุน” โดยได้ส่งบันทึกให้กับพนักงานว่าทางบริษัทฯ หากไม่มีผู้อพยพมาทำงานให้คงมาไม่ได้ถึงจุดนี้
Google ทางบริษัทฯ มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของคำสั่งนี้ ขอให้ชาว Google และครอบครัวกลับมายังอเมริกาโดยด่วน และหากมีปัญหาขอให้ติดต่อบริษัทฯ เป็นการด่วน
Microsoft ตอบสนองอย่างไม่เฉพาะเจาะจงเท่าไหร่ โดยแสดงเพียงความกังวลและบอกว่าจะช่วยเหลือพนักงานที่ได้รับผลกระทบ จนกระทั่งอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงได้มาวิจารณ์เรื่องตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงตัว CEO ก็เป็นผู้อพยพด้วยเช่นเดียวกัน และพร้อมในการสนับสนุนผู้อพยพต่อไป
Mozilla กล่าวว่ามันเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ดี ไม่สนใจประวัติศาสตร์ และมีแนวโน้มว่าจะทำอันตรายระยะยาวมากกว่าผลดี
Tesla ออกมาต่อต้านนโยบายด้วยเช่นกัน โดยหลายคนที่ได้รับผลกระทบล้วนเป็นผู้สนับสนุนที่ดีของสหรัฐมาโดยตลอด โดยคนเหล่านี้เข้าเมืองมาอย่างถูกต้อง ไม่ผิดและไม่สมควรที่จะถูกปฎิเสธ
Twitter เรียกมันว่าผลกระทบความจริงที่เลวร้าย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังยืนยันเชื่อมั่นใจแรงงานข้ามชาติของทุกศาสนา
WEAK
Facebook แสดงความกังวลเกี่ยวกับการบริหารงานของ Trump และเสนอให้ความช่วยเหลือ ภายใต้การแสดงความเห็นที่คลุมเครือว่าควรเปิดประตูให้ผู้ลี้ภัย และผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ นอกจากนี้พ่อแม่ของเราและภรรยาต่างก็เป็นผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกัน
Amazon ยอมรับว่านโยบายตรวจคนเข้าเมืองย่อมเป็นสิ่งที่กระทบอยู่แล้ว และในข้อความได้ส่งไปให้พนักงานเกี่ยวกับแผนฉุกเฉิน สำหรับพนักงานที่ได้รับผลกระทบ
Intel ให้การสนับสนุนพนักงานที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ที่อาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎกมาย และบริษัทยังให้การสนับสนุนการตรวจคนเข้าเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า 7 ชาติมุสลิมที่โดนแบนห้ามเข้านั้น ไม่เคยเป็นหนึ่งในผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าพลเมืองชาวอเมริกันเลย แต่ชนชาติที่ฆ่าชาวอเมริกันมากที่สุดอย่าง “ซาอุดิอาระเบีย” กลับไม่อยู่ในรายชื่อ
ที่มา – theverge, venturebeat