Attapon Thaphaengphan
ไม่ว่าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จะดีแค่ไหนหากไร้ซอฟต์แวร์อันชาญฉลาดแล้วหละก็ อุปกรณ์เหล่านั้นก็ไม่ต่างจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ไร้ซึ่งชีวิตที่หาประโยชน์ได้ไม่ วันนี้ผู้ใช้สมาร์ตโฟนทั่วโลกน่าจะเริ่มเห็นความสำคัญที่แท้จริงของคำว่า “ซอฟต์แวร์” กันแล้ว หลังจากที่ทาง Google ประกาศยกเลิกการสนับสนุนอุปกรณ์ของ Huawei เราจะมาลงรายละเอียดเรื่องนี้กันครับ
อย่างที่รายงานไปว่า Google หยุดทำธุรกิจร่วมกับ Huawei ไม่สนับสนุนระบบ Android, Google Service อื่น ๆ ซึ่งต้องยอมรับกันเลยว่าซอฟต์แวร์จากทาง Google ไม่ใช่เพียง Huawei เท่านั้นที่นำไปใช้ติดตั้งในสมาร์ตโฟนของตนนั้นเป็นส่วนที่ทำให้ร่างกาย (ฮาร์ดแวร์ของสมาร์ตโฟน) สามารถมีชีวิตและลุกขึ้นมาทำงานได้และเป็นที่แพร่หลายไปยังผู้ใช้งานทั่วโลก
ต้องขอบคุณ Google และผู้ผลิตสมาร์ตโฟนทั่วโลกพร้อมทั้งนักพัฒนาแอปพลิเคชัน ที่ร่วมมือกัน แข่งขันกันพัฒนาระบบจนสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้
มาดูข้อมูลเกี่ยวกับการที่ Google หยุดให้การสนับสนุน Huawei ในแง่ของซอฟต์แวร์ต่าง ๆ นั่น สิ่งที่เป็นผลกระทบต่อทาง Huawei ก็คือ
- อนาคตสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไปของ Huawei จะใช้ Google Play Store ที่ดาวน์โหลดแอปมาลงสมาร์ตโฟนของ Huawei ไม่ได้
- ไม่สามารถใช้งาน Android เวอร์ชันใหม่ ๆ ในอนาคตที่ทาง Google อัปเดตได้ ทางแก้ไขตอนนี้คือ Huawei ทำการพัฒนาระบบ OS ของตนเองภายใต้ชื่อ Hongmeng
- ใช้บริการ Gmail, Google, Youtube, Google Maps, Google Drive ฯลฯ ไม่ได้ ซึ่งจุดนี้ผู้ใช้งานในจีนอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่แต่ผู้ใช้ Huawei ทั่วโลกได้รับผลกระทบนั้นเต็ม ๆ
- แม้ Huawei กำลังพัฒนาระบบ OS ของตนเองออกมาใช้งานนั้น จุดนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะรุ่งหรือจะร่วง อย่าลืมว่าการสร้าง OS ของตัวเองไม่ได้ยาก แต่การที่จะทำให้ OS นั้นได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายมากพอที่จะดึงดูดนักพัฒนามาสร้างแอปให้ใช้งานในระบบ OS เหล่านั้นได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายและต้องใช้เวลาอย่างมากในการที่จะทำให้แข็งแรงได้เหมือน App Store ของ iOS และ Play Store ของ Google แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
การที่ Google จำเป็นที่ต้องออกมาตัดเยื่อใยแบบนี้ลึกๆ เองคงไม่อยากทำเช่นนั้น แต่ด้วย “กฎ” ของประเทศที่ต้องเคารพจึงต้องทำให้ตัดสินใจทำเช่นนั้นไป ในมุมของ Huawei นั้นถือว่ามรสุมรอบนี้ค่อนข้างที่จะหนักมากแต่ก็ได้เตรียมมือรับกรณีที่เลวร้ายเช่นนี้เอาไว้แล้ว
ดังนั้น ในมุมของผู้ใช้อย่างเรา ๆ ก็คงจะเห็นกันแล้วว่า
พลังของซอฟต์แวร์นั้นมีอำนาจและมีค่ามากมายขนาดไหน
ซอฟต์แวร์คือสมอง ฮาร์ดแวร์คือร่างกาย
ในยุคที่อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญต่อผู้คนบนโลกซึ่งเรากล้าที่จะพูดได้เลยว่าสิ่งนั้นมันเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราไปค่อนข้างมากมาย ตัวอย่างเช่น
- Google มีระบบค้นหาข้อมูล (Search Engine) ที่มีผู้ชมเข้าใช้งานทุกวันบนโลก ผู้คนเปลี่ยนจากการค้นหาข้อมูลจากสมุดหน้าเหลือง, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร ฯลฯ หันมาค้นหาโดยการพิมพ์สิ่งที่อยากรู้ลงไปในช่องค้นหาบนเว็บ Google ก็จะพบสิ่งที่ต้องการในไม่กี่วินาที
- Facebook มีข้อมูลทั้งรูปภาพ คลิปวิดีโอต่าง ๆ มากมาย ทั้งที่เขาไม่ได้สร้างข้อมูลเหล่านั้นเลย ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ มาจากผู้ใช้งานกว่าพันล้านคนทั่วโลกช่วยกันสร้างมันขึ้นมา แหละนั่นคือสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากมายจนทำให้ Facebook มีรายได้กว่า $55,838 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 ที่ผ่านมา
- Airbnb ให้บริการจองที่พักที่มีอยู่ทั่วโลกโดยที่พวกเขาไม่มีห้องพักหรือโรงแรมของตัวเองเลย
- Uber, Lyft, Grab ให้บริการเรียกรถแท็กซี่, รถนั่งรับส่ง หลายล้านคันทั่วโลกโดยที่บริษัทเหล่านั้นไม่ได้มีรถเป็นของตัวเอง
- App Store มีมากกว่า 1 ล้านแอปจากนักพัฒนาทั่วโลกให้เลือกดาวน์โหลดลงอุปกรณ์ ซึ่งเพิ่มความสามารถให้กับอุปกรณ์ iPhone, iPad ของผู้ใช้งาน
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าแม้ว่าบางธุรกิจที่ใหญ่โตระดับโลกนั้นไม่จำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์เป็นของตัวเอง แต่ด้วยการใช้ไอเดียพัฒนา “ซอฟต์แวร์” ที่ดีขึ้นมาก็สามารถสร้างธุรกิจและทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาลพร้อมทั้งซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมานั้นก็ช่วยให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
เลือกซื้อสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ Gadget อย่าลืมพิจารณาซอฟต์แวร์ภายในด้วย
สิ่งที่จะพยายามสื่อวันนี้ก็คือ ทุกวันนี้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, สมาร์ตโฟนและ Gadget ต่าง ๆ มีออกมาจำหน่ายให้เลือกมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อ ทั้งรูปลักษณ์, ฟังก์ชันการใช้งาน, ราคา ก็แตกต่างกันออกไป สิ่งที่อยากจะบอกคือ การเลือกอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่มองรูปลักษณ์และราคาเป็นหลักในการตัดสินใจเท่านั้น แต่สิ่งที่อยากให้ดูมากกว่านั้นอีกก็คือ ระบบซอฟต์แวร์ที่อยู่ภายในและการสนับสนุนดูแลหลังจากที่เราซื้อไปใช้งานแล้ว
หลายครั้งที่เห็นว่าบางคนซื้ออุปกรณ์เหล่านี้มาใช้เพราะ “ราคาถูก” ยกตัวอย่างเช่นกล้องวงจรปิดแบบไร้สาย พอเปิดใช้งานจริง ซอฟต์แวร์ที่ให้มานั้นเรียกได้ว่า “ห่วยโคตร” แอปก็ใช้งานยาก ภาษาอังกฤษไม่มี, คู่มือไม่มี, เชื่อมต่อใช้งานยากและที่สำคัญไม่มีข้อมูลเรื่องการอัปเดตและแก้ไขข้อบกพร่อง ฯลฯ ตัวอย่างเหล่านี้เจอกันเยอะมาก
อีกสักตัวอย่าง สมาร์ตโฟนก็ได้ เลือกซื้อมาเพราะราคาถูก ฟีเจอร์ให้มาโดนใจ แต่พอใช้งานไปแค่ 1-2 ปี อะไหล่ไม่มีสำหรับซ่อม, ซอฟต์แวร์อัปเดตต่อไม่ได้สุดท้ายก็โดน “ลอยแพ” ไม่ได้รับการดูแลหลังจากนั้นอีกเลย
นี่เป็นสิ่งที่พบเจอกันเยอะมากในทุกวันนี้ ด้วยความที่มีโรงงานรับผลิตของ OEM เกลื่อนตลาด อยากได้สินค้าตัวไหนก็ทำได้ แต่สิ่งที่ต่างกันสำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจในด้านสายไอทีก็คือ “การวิจัยและพัฒนา” ที่ได้ทุ่มงบประมาณ เวลา ความรู้ความสามารถเพื่อทำให้ซอฟต์แวร์ของตนนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับอุปกรณ์ และที่สำคัญยังให้การสนับสนุนผู้ใช้ที่ซื้อสินค้าเหล่านั้นไปใช้งานจนถึงเวลาอันสมควร แบบนี้คือสิ่งที่ผู้ใช้อย่างเราควรนำมาพิจารณาก่อนที่จะเลือกซื้อสินค้าเหล่านั้น
