TikTok ได้ยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาสหรัฐฯ ร้องขอให้ระงับคำสั่งแบนชั่วคราวที่จะมีผลทำให้ TikTok ถูกแบนในสหรัฐช่วงเดือน ม.ค. 2025 ที่จะถึงนี้
TikTok ยื่นเรื่องต่อศาลสหรัฐฯ ขอระงับคำสั่งแบนชั่วคราว
เมื่อเดือน เม.ย. 2024 ที่ผ่านมา ศาลสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายให้ ByteDance ขาย TikTok ให้กับบริษัทอื่นที่ไม่ใช่สัญชาติจีน หากไม่ทำตาม TikTok จะถูกแบนในสหรัฐ มีผล ม.ค. 2025
ด้าน TikTok เองก็ได้ออกมาโต้แย้ง เรียกร้องให้ศาลสหรัฐอุทธรณ์ด้วยเหตุผลเรื่อง “เสรีภาพการพูด” แต่ศาลสหรัฐ ก็ยืนกรานปฏิเสธ เตรียมแบน TikTok ในสหรัฐต่อไป
ล่าสุด TikTok ได้ยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาอีก ขอให้มีการระงับคำสั่งแบนชั่วคราว โดยอ้างว่ารัฐสภาสหรัฐ ได้บังคับใช้ “การกีดกันเสรีภาพการพูดครั้งใหญ่ แบบไม่เคยมีมาก่อน” และ TikTok เป็นช่องทางการสื่อสารที่ได้รับความนิยมและสำคัญที่สุดในสหรัฐ หากถูกแบนก็จะมีผลกระทบหลายอย่างตามมา
TikTok ยังไม่ถูกขายกิจการตามคำสั่ง
รายงานเผยว่าสมาชิกรัฐสภาสหรัฐได้ให้เวลา ByteDance นานถึง 9 เดือนในการขายกิจการ TikTok ให้กับบริษัทที่ไม่อยู่ในจีน แต่ทาง ByteDance ก็ไม่ทำตาม อ้างว่ามีปัญหาหลายอย่าง เช่น การส่งมอบ Source Code ให้บริษัทใหม่ทำได้ยาก ใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจ และทาง ByteDance มีนโยบายไม่มีแผยให้บริษัทอื่นเข้าถึงอัลกอริทึมของ TikTok ด้วย
การขายกิจการ TikTok นั้นทำได้ยาก เพราะทาง ByteDance ต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีนก่อน ดังนั้นหากถึงกำหนดเดือน ม.ค. 2025 ถ้า TikTok ยังไม่ถูกขายกิจการ ก็จะทำให้ Google, Apple ต้องถอดแอปออกจากคลังแอปสหรัฐ ผู้ใช้สหรัฐจะไม่สามารถดาวน์โหลดแอปได้อีกต่อไป ส่วนที่โหลดไปแล้วก็ยังใช้งานได้ แต่ถ้าจะโหลดใหม่ หรืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ก็จะทำไม่ได้
รัฐสภาสหรัฐ ต้องการให้ ByteDance ขาย TikTok ให้บริษัทนอกประเทศจืน เพราะข้อกังวัลเรื่องรัฐบาลจีนที่อาจบังคับให้ ByteDance ส่งข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐให้กับรัฐบาลจีน รวมถึงการใช้ TikTok เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ทางการเมืองด้วย
ณ ตอนนี้ ยังไม่แน่ไม่นอนว่า TikTok จะถูกแบนในสหรัฐหรือไม่ ส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นตำแหน่ง ปธณ. สหรัฐของ Doald Trump โดย CNBC รายงานว่า “Trump และรัฐบาลจะเดินหน้าตรวจสอบ TikTok” ซึ่งเขาเคยพยายามแบน TikTok มาก่อนตอนที่เคยดำรงตำแหน่ง แต่ตอนนี้ Trump กลับไม่เห็นด้วยกับกฎหมายของรัฐสภาที่ผ่านความเห็นชอบมาแล้ว ดังนั้นยังไม่แน่ว่า TikTok จะถูกแบนตามกำหนด หรือถูกเลื่อนออกไป ต้องรอติดตามกัน
ที่มา: MacRumors