หลังจากที่ Apple เปิดตัว iPad Air 5 ที่มาพร้อมชิป M1 ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดีมาก ๆ แต่หลายคนก็อาจมีข้อสงสัยว่าทำไม Apple ถึงใส่ ชิป M1 เข้ามาใน iPad Air 5 จะรายละเอียดอะไรบ้าง ไปชมกัน
ทำไม? Apple ถึงใส่ชิป M1 มาใน iPad Air 5
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับการวางตำแหน่ง iPad ของ Apple กันก่อน โดย iPad จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
- iPad รุ่นเริ่มต้น อย่างรุ่นปัจจุบันก็คือ iPad Gen 9th
- iPad ระดับกลาง ก็คือ iPad Air และ iPad mini
- iPad ระดับโปร อย่างรุ่นปัจจุบัน ก็จะเป็น iPad Pro 11″ และ iPad Pro 12.9″
สำหรับ iPad Air 5 นั้นเป็น iPad ที่อยู่ในระดับกลาง ซึ่งใกล้เคียงกับระดับโปรเลย ซึ่งจุดประสงค์หลักของตัว iPad Air 5 ที่ Apple ต้องการก็คืออยากให้ผู้ใช้ได้ใช้งานอย่างประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงระดับโปร แต่จ่ายในราคาน้อยกว่านั่นเอง
ซึ่งตัวชิป M1 ที่ถูกใส่เข้ามาใน iPad Air 5 นั้น จะช่วยให้การทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะ Apple เคลมไว้ว่าประสิทธิภาพจะเร็วขึ้นสูงสุด 60% ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องสลับไปมาระหว่างแอป การเล่นเกมที่เน้นกราฟิกหนัก ๆ
หรือใครที่เป็นสายวาดรูป iPad Air 5 ตัวนี้ก็ถือว่าค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะเราสามารถวาดฟิลเตอร์ AR ที่ใช้ในแอปโซเชียลมีเดียลงบน iPad Air 5 ได้เลย นอกจากนี้ก็ยังสามารถสร้างแอปพลิเคชันจาก iPad Air 5 ตัวนี้ได้ด้วย เรียกได้ว่ายกขุมพลังแบบจัดเต็มมาไว้ใน iPad Air 5 เลย
แล้วจะต่างกับ iPad Pro ตรงไหน?
จากประสิทธิภาพการใช้งานที่เรียกได้ว่ายกขุมพลังแบบจัดเต็มมาไว้ใน iPad Air 5 นั้นก็อาจจะมีข้อสงสัยเกิดว่า แล้วมันจะต่างกับ iPad Pro ตรงไหน? แต่ถ้านำมาเปรียบเทียบดูสเปกกันจริง ๆ แล้ว ก็จะเห็นข้อแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้
1. เรื่องหน้าจอ
สำหรับเรื่องหน้าจอในตัว iPad Pro 12.9” เป็นจอภาพ Liquid Retina XDR สามารถถ่ายทอดรายละเอียดได้สมจริง เหมาะกับการดูหนังหรือรายการบันเทิงต่าง ๆ และยังเป็นจอภาพแบบ Mini-LED ด้วยที่จะช่วยให้การแสดงสีเป็นสีดำจริงๆ
แต่ตัว iPad Air 5 เป็นจอ LED ธรรมดา การแสดงผลสีดำก็อาจจะดูเหมือนเป็นสีคล้าย ๆ สีเทา และจุดที่เป็นไฮไลท์เด่นของตัว iPad Pro ก็คือหน้าจอ ProMotion นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใน iPad Air
2. เรื่องกล้อง
iPad Air 5 มีกล้องหลัง 1 ตัว เลนส์ Wide 12MP แต่ iPad Pro มีกล้องหลัง 2 ตัว คือ กล้อง Wide 12MP และ Ultra Wide 10MP พร้อสแกนเนอร์ Lidar ที่สามารถสร้างแผนผังของพื้นที่ได้ เพียงแค่หยิบขึ้นมาสแกน แต่ใน iPad Air 5 ไม่สามารถทำได้ นับว่าเป็นข้อแตกต่างของ iPad ระดับโปรที่สามารถทำได้นั่นเอง
3. thunder bolt
iPad Pro ทั้งสองรุ่นสามารถเชื่อมต่อ thunder bolt ที่ใช้งานร่วมกับหัวต่อ USB‑C ได้ ซึ่งเป็นพอร์ตที่มีแบนวิดท์ 40Gbps สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้ เช่น SSD, Hub หรือ เชื่อมต่อกับ จอ Pro Display XDR ให้แสดงชิ้นงานบนจอใหญ่ได้
4. ระบบเสียง
ใน iPad Pro มีระบบเสียง 4 ลำโพง ทั้งหัวและท้ายเครื่อง ทำให้เราสามารถฟังเสียงได้ดีมากกว่า เมื่อเทียบกับ iPad Air 5 ที่มีระบบเสียง 2 ลำโพง
5. RAM, ความจุ
สำหรับเรื่องความจุของตัวเครื่องจะเห็นได้ว่า ตัวโปรมีความจุสูงสุด 2TB เรียกได้ว่ารองรับการใช้งานอย่างมาก เมื่อเทียบกับตัว iPad Air 5 ที่มีความจุสูงสุดเพียง 256GB และมี RAM 8GB ส่วน iPad Pro มี Ram ให้เลือก 2 ขนาด คือ 8GB หรือ 16GB
6. การยืนยันตัวตน
ใน iPad Air 5 Touch ID ที่ปุ่มด้านบน ส่วน iPad Pro จะมี Face ID ที่ใช้งานด้วยกล้อง True Depth จดจำใบหน้า
จากสเปกเด่นๆ ของตัว iPad Pro จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเลยว่าสเปกระดับโปรนั้นก็โปรสมชื่อจริง ๆ แต่ถ้าหากนำมาเปรียบเทียบกันในเรื่องของราคาที่มีความจุเดียวกันนั้น จะทำให้เราความแตกต่างเพิ่มขึ้น อย่างในกรณีนี้จะยกตัวอย่างราคาในความจุเดียวกันมาให้ชม
สำหรับความจุ 256GB ในรุ่น Wi-Fi นั้น iPad Air 5 มีราคาอยู่ที่ ฿25,900 iPad Pro 11” มีาราคา ฿31,400 และ iPad Pro 12.9” ราคาอยู่ที่ ฿41,400
ซึ่งก็จะมีส่วนต่างราคาประมาณ 5000 บาท ถ้าใครมีทุนทรัพย์ถึงก็แนะนำให้ขยับไปเป็น iPad Pro ก็น่าจะตอบโจทย์กับสายงานได้มากกว่า แต่ถ้าหากใครมีงบจำกัดสำหรับสเปก iPad Air 5 ก็ถือเพียงพอและใช้งานได้แล้ว
ดังนั้นการที่ Apple ใส่ชิป M1 เค้ามาใน iPad Air 5 นั้น ก็ถือว่าให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงประสิทธิภาพการใช้งานที่ใกล้เคียงระดับโปรได้ แถมราคาก็เป็นมิตรอีกด้วย